เพชรสังฆาต

แสดง %d รายการ

ยาสมุนไพรรักษาริดสีดวงทวาร

สมุนไพรรักษาริดสีดวงทวาร เช่น เพชรสังฆาต โรคริดสีดวง เป็นโรคเกิดที่เกิดจากเส้นเลือดบริเวณทวารหนักส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่เกิดอาการโป่งพอง

 


เพชรสังฆาต

เพชรสังฆาต

ชื่อวิทยาศาสตร์ :Cissus quadrangularis Linn.

ชื่อวงศ์ :Vitaceae

ชื่ออื่นๆ :สันชะฆาต ขันข้อ(ราชบุรี) สามร้อยต่อ (ประจวบคีรีขันธ์) สันชะควด (กรุงเทพฯ)

เถาของเพชรสังฆาตมีองค์ประกอบทางเคมี ดังนี้

  • natural plant steroids (ketosterones): onocer-7-ene-3 alpha, 21 beta-diol, delta-amyrin, delta-amyrone และ 3,3',4,4'- tetrahydroxybiphenyl
  • สารกลุ่ม stilbene: quadrangularins A, B, C, resveratrol, piceatannol, pallidol , parthenocissine A.
  • สารในกลุ่ม flavonoids เช่น diosmin, hisdromin, hesperidin.
  • ascorbic acid (vitamin C)
  • lupeol
  • carotene 
  • calcium oxalate.

รูปแบบและขนาดวิธีใช้

ในอดีตการใช้เพชรสังฆาตรักษาริดสีดวงทวารหนักจะทำ โดยนำ เถาสดใส่กล้วยหรือมะขามแล้วกลืน เนื่องจากเพชรสังฆาตมีแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate) การกลืนเถาสดอาจเกิดการระคายเคืองทางเดินอาหารได้

ต่อมาได้มีการนำ เพชรสังฆาตมาผลิตให้อยู่ในรูปแบบแคปซูลเพื่อให้ง่ายต่อการบริหารยาโดยในรูปยาผงบรรจุแคปซูล 250 มิลลิกรัม ให้รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน เป็นเวลา 5-7 วัน

ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
การรับประทานเพชรสังฆาตสด อาจทำให้เกิดอาการระคายคอ ระคายเยื่อบุในปาก เนื่องจากเถาสดมีผลึกแคลเซียมออกซาแลตอยู่มาก

ห้ามรับประทานติดต่อกันนานเกิน 2 สัปดาห์เพราะอาจก่อให้เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ผู้ป่วยโรคไตห้ามรับประทาน

การใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในการใช้เสมอ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ เช่น ตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะน้อย แน่นท้อง เป็นต้น

การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ผลต่อแรงตึงตัวของหลอดเลือดดำ :

 สารสกัดเพชรสังฆาตมีฤทธิ์กระตุ้นหลอดเลือดดำ ให้มีความตึงตัวเพิ่มขึ้น คล้ายกับส่วนผสมของไบโอฟลาโวนอยด์ 2 ชนิด ได้แก่ ไดออสมิน 90% และฮิสเพอริดิน 10% ที่พบในตำรับยาแผนปัจจุบัน สำหรับใช้รักษาริดสีดวงทวาร

 

 

ฤทธิ์ต้านการอักเสบเฉียบพลัน  :

ผลการทดลองในหนู 2 การศึกษา สารสกัดเพชรสังฆาตใด้วยเมธานอลและเฮกเซน สามารถยับยั้งการบวมของใบหู และการบวมของอุ้งเท้าของหนูขาวได้  ที่ถูกกระตุ้นด้วยสารเคมี ตรวจพบองค์ประกอบทางเคมีของสาร lupeol ในสารสกัดเฮกเซน

การศึกษาประสิทธิผลและผลข้างเคียงของการใช้สมุนไพรเพชรสังฆาตในผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวาร ระยะเฉียบพลัน จำนวน 570 คน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ

  1. กลุ่มที่ได้รับยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์ (Daflon 500 มก./เม็ด)
  2. กลุ่มที่ได้รับสมุนไพรเพชรสังฆาต (500 มก./เม็ด) 
  3. กลุ่มที่ได้รับยาหลอก ในช่วง 4 วันแรก

ให้รับประทานครั้งละ 3 เม็ด เช้าและเย็น หลังอาหาร และช่วง 3 วันหลัง ได้รับครั้งละ 2 เม็ด เช้าและเย็น หลังอาหาร ในทั้ง 3 กลุ่ม

ผู้ป่วยจะได้รับการประเมินอาการต่างๆ คือ เลือดออกทางทวารหนัก เมือก อาการคัน รอยแดง หรืออักเสบรอบทวารหนัก 

การประเมินผล ทำโดยการสัมภาษณ์เพื่อสอบถามอาการ รวมทั้งมีการตรวจเลือดและติดตามผลข้างเคียงของการได้รับยาหรือสมุนไพรควบคู่ไปพร้อมกันด้วย

ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยในทุกกลุ่มส่วนใหญ่อาการเลือดออกเฉียบพลันจะหยุดในวันที่ 2 ของการให้ยา และมีอาการดีขึ้นหลังการให้ยาครบ 7 วัน ประสิทธิผลของการรักษาในผู้ป่วยทุกกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และไม่มีผลข้างเคียงเกิดขึ้น

สรุปได้ว่าเพชรสังฆาตให้ผลในการรักษาริดสีดวงทวารในระยะเฉียบพลันได้ไม่แตกต่างจากยาที่มีส่วนผสมของฟลาวานอยด์และยาหลอก 

อีก 1 การศึกษา ประโยชน์ของเพชรสังฆาตในเรื่องการรักษาโรคริดสีดวงทวารในมีงานวิจัยของ  พ.ญ. ดวงรัตน์ญ เชี่ยวชาญวิทย์ และคณะได้ประเมินประสิทธิภาพของสมุนไพรเพชรสังฆาตกับผู้ป่วยที่เป็นโรคริดสีดวงทวารจำนวน 121 คน เปรียบเทียบกับยาแผนปัจจุบันอย่าง ดาฟลอน (Daflon) โดยผลการวิจัยพบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนของการประเมินผลของสมุนไพรเพชรสังฆาตกับยาดาฟลอนไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และที่สำคัญยังพบว่าค่าใช้จ่ายของยาแคปซูลเพชรสังฆาตถูกกว่ายาดาฟลอนถึง 20 เท่าอีกด้วย

ผลการวิจัยนี้จึงสรุปได้ว่าแคปซูลเพชรสังฆาตสามารถใช้ทดแทน

 

ริดสีดวงทวาร

โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids/Piles) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ริดสีดวง

เป็นโรคเกิดที่เกิดจากเส้นเลือดบริเวณทวารหนักหรือส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่ที่อยู่ติดกับทวารหนักเกิดอาการโป่งพอง ในบางครั้งผนังหลอดเลือดเหล่านี้อาจมีการยืดตัวจนบาง ทำให้มีหลอดเลือดโป่งหรือนูนคล้ายติ่งยื่นออกมาจากทวารหนัก อาจจะก่อให้เกิดอาการปวด เจ็บ หรือคัน รวมไปถึงนั่งถ่ายลำบาก บางครั้งอาจมีการปริแตกของผนังหลอดเลือดขณะเบ่งถ่ายอุจจาระร่วมด้วย จึงทำให้มีเลือดออกเป็นครั้งคราว 

แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก 

  1. ริดสีดวงชนิดภายใน (Internal Hemorrhoids) ผู้ป่วยมักจะมองไม่เห็นหรือรู้สึกเจ็บเมื่อเกิดริดสีดวง เนื่องจากมีเส้นประสาทที่รับความรู้สึกบริเวณนี้น้อย 
  2. ริดสีดวงชนิดภายนอก (External Hemorrhoids) มักมีการนูนของหลอดเลือดลงมานอกช่องทวารหนักจนคล้ายเป็นติ่ง โดยผู้ป่วยอาจสังเกตเห็นได้ชัดกว่าชนิดแรกจากสีผิวบริเวณที่เกิด ซึ่งริดสีดวงภายนอกมักจะมีสีชมพูกว่าผิวบริเวณรอบ ๆ 

และสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ขั้น ตามระดับความรุนแรงและขนาดของริดสีดวงได้ดังนี้

ขั้นที่ 1 : ริดสีดวงมีขนาดเล็กอยู่ในช่องทวารหนักเท่านั้น ไม่สามารถมองเห็นจากด้านนอกหรือรู้สึกได้
ขั้นที่ 2 : ริดสีดวงเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมและยื่นออกมาเมื่อมีการเบ่งหรือถ่ายอุจจาระ แต่สามารถหดกลับเข้าไปด้านในได้เอง
ขั้นที่ 3 :ริดสีดวงยื่นออกมาจากช่องทวารหนักเมื่อมีการเบ่งหรือขับถ่าย ผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกได้ว่ามีติ่งเนื้อยื่นลงมา แต่ยังสามารถดันกลับเข้าไปในช่องทวารหนักได้
ขั้นที่ 4 : ริดสีดวงยื่นออกมาจากทวารหนักอย่างถาวร มีขนาดค่อนข้างใหญ่ และไม่สามารถดันกลับเข้าไปด้านในได้

อาการของโรคริดสีดวงทวาร

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการคล้าย ๆ กัน คือ มีอาการคัน เจ็บและปวดบริเวณทวารหนัก มีเลือดออกขณะถ่ายอุจจาระ อาการของโรคริดสีดวงทวารส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ผู้ป่วยเป็นริดสีดวงเป็นหลักและมักจะดีขึ้นได้เองโดยไม่ต้องรักษา แต่ในรายที่อาการรุนแรงและมีอาการอื่นเกิดรวมด้วย เช่น เวียนหัว หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม โดยเฉพาะผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นได้

สาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร

โรคริดสีดวงทวารยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนถึงสาเหตุการเกิด แต่มีความเกี่ยวข้องกับแรงดันที่เพิ่มมากขึ้นของเส้นเลือดบริเวณทวารหนัก ทำให้เส้นเลือดเกิดการบวมหรือนูนจากแรงดันที่มีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเบ่งอุจจาระอย่างรุนแรง การนั่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน โรคอุจจาระร่วงเรื้อรัง อาการท้องผูก การตั้งครรภ์ โรคอ้วน การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย หรือแม้แต่เนื้อเยื่อที่รองรับเส้นเลือดบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลายและทวารหนักเกิดการเสื่อมหรือขยายตัว

 

 

 

 

การวินิจฉัยโรคริดสีดวงทวาร

เมื่อสังเกตพบอาการผิดปกติที่น่าสงสัยว่าจะเป็นริดสีดวง แพทย์จะมีการตรวจทวารหนักด้วยตาเปล่าว่าพบริดสีดวงชนิดภายนอกหรือไม่ ซึ่งสามารถตรวจพบได้ทันที แต่ในกรณีที่เป็นริดสีดวงชนิดภายใน แพทย์ต้องมีการตรวจทางทวารหนักด้วยการใช้นิ้วสอดและการส่องกล้องพิเศษประเภทอื่น ๆ เพื่อหาความผิดปกติและวินิจฉัยแยกโรคที่ถูกต้องด้วยเครื่องมือแพทย์ที่ต่างกัน เช่น Anoscope, Proctoscope Sigmoidoscopy หรือแพทย์อาจจะมีการตรวจลำไส้ใหญ่ทั้งหมด (Colonoscopy) เมื่อสงสัยว่าผู้ป่วยเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะวัยกลางคนขึ้นไปที่ไม่เคยมีประวัติการตรวจโรคนี้

รักษาอาการริดสีดวง ขั้นต้นด้วยตัวเอง

  1. ระวังอย่าให้ท้องผูกหรือท้องเดินบ่อย ๆ โดยควรรับประทานผักผลไม้ที่มีกากใยสูงให้มาก เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง มะละกอสุก และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อให้อุจจาระอ่อนนุ่มและขับถ่ายออกได้ง่าย หากยังมีอาการท้องผูกอีก ให้รับประทานยาระบาย เช่น ยาระบายแมกนีเซียม หรือสารเพิ่มกากใย เป็นต้น
    ฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา ไม่กลั้น และไม่เบ่งอุจจาระ
  2. หลีกเลี่ยงการนั่งเบ่งถ่ายเป็นเวลานาน ๆ รวมถึงการยืน การเดิน และการนั่งแช่เป็นเวลานาน ๆ
  3. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะจะทำให้โรคริดสีดวงทวารเป็นมากขึ้นได้
  4. ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก ควรหาวิธีลดความอ้วนอย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงการยกของหนัก

การรักษาโรคริดสีดวงทวาร

โรคริดสีดวงทวารสามารถรักษาได้หลายวิธี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ระดับความรุนแรง และความต้องการของผู้ป่วยเอง

ในกรณีที่ไม่รุนแรง แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลตนเองที่บ้าน โดยเน้นให้มีการรับประทานอาหารที่มีกากใยเพิ่มขึ้น ดูแลบริเวณที่เป็นริดสีดวงทวารให้แห้งและสะอาด รวมไปถึงมีการแช่น้ำอุ่นบริเวณก้นเป็นประจำ ควบคู่กับการรับประทานยาในกลุ่มแก้ปวดและยาทา เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด คัน หรือเจ็บบริเวณที่เป็นริดสีดวงทวารน้อยลง

แต่หากเป็นขั้นรุนแรงหรืออาการของโรคส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แพทย์อาจใช้การรักษาด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติม เช่น การใช้ยางรัด การฉีดยา การจี้ หรือการผ่าตัดริดสีดวงทวารออก โดยพิจารณาถึงความสมัครใจของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษาเอง

ภาวะแทรกซ้อนของโรคริดสีดวงทวาร

โรคริดสีดวงทวารอาจทำให้เกิดเส้นเลือดขอดบริเวณทวารหนักจนทำให้เกิดหลอดเลือดบวมและมีการจับตัวเป็นลิ่มเลือดและกลายเป็นก้อนแข็งที่เรียกว่า ภาวะธรอมโบซิส (Thrombosis) ซึ่งมักเกิดกับริดสีดวงชนิดภายนอก นอกจากนี้มักจะเกิดภาวะเลือดออก โลหิตจางจากการเสียเลือดขณะขับถ่าย หรือเกิดการติดเชื้อเป็นผลจากการรักษา

 

บทความล่าสุด

อาการตกขาวจากช่องคลอดอักเสบ

ตกขาวหรือระดูขาว มีลักษณะเป็นของเหลว ใสหรือขุ่นก็ได้ อาจคล้ายน้ำแป้ง หรือ แป้งเปียก ปกติไม่มีกลิ่น

อาการวิงเวียนศีรษะและยารักษา

อาการวิงเวียนศีรษะเป็นอาการที่พบได้บ่อย แต่ถ้ามีร่วมกับอาการบ้านหมุน คลื่นไส้อาเจียน ควรพบแพทย์

ยาพ่นช่องปากและคอ

การเลือกใช้ยาพ่นคอ ควรพิจารณาความรุนแรงของอาการที่เป็น ถ้ามีอาการเล็กน้อย ไม่รุนแรง การใช้สปรย์พ่นคอ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้สำหรับการวิเคราะห์

    คุกกี้นี้เป็นการเก็บข้อมูลสาธารณะสำหรับการวิเคราะห์และเก็บสถิติการใช้งานเว็บภายในเว็บไซต์นี้เท่านั้น ไม่ได้เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่เป็นสาธารณะของผู้ใช้งาน

บันทึกการตั้งค่า