คิวเทน กินเพื่อสุขภาพหรือ ความงาม
ดร.เอกราช เกตวัลห์ อาจารย์ประจำฝ่ายเคมีทางอาหาร สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล กล่าวว่า โคเอนไซม์คิวเทน หรือที่คนทั่วไปนิยมเรียกย่อๆว่าคิวเทน เป็นสารที่มีอยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกายของมนุษย์และสัตว์ มีอยู่มากในอวัยวะภายในโดยเฉพาะหัวใจ, ตับ และไต ซึ่งเป็นอวัยวะที่ต้องทำงานหนักตลอดเวลา
โดยมีหน้าที่สำคัญคือ ทำให้เกิดพลังงานสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ประมาณ 95% ของพลังงานในร่างกาย และเป็นภูมิคุ้มกันของร่างกายจากสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคมะเร็งต่างๆ และเป็นต้นเหตุของเซลล์เสื่อมสภาพหรือความแก่นั่นเอง
ดร.เอกราชกล่าวต่อว่า ปกติร่างกายเราได้รับคิวเทน 2 ทาง จากอาหารที่เรากินทั่วไป และจากการสังเคราะห์ ของร่างกาย อาหารที่มี “คิวเทน” สูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ปลาทะเล หัวใจ ตับ ถั่วเหลือง น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันงา
ส่วนการสังเคราะห์นั้น ร่างกายจะสังเคราะห์ “คิวเทน” ได้ดีตอนช่วงอายุน้อยๆ และจะลดลงหลังจากอายุ 21 ปี นอกจากนี้การได้รับยาบางชนิด เช่น ยาในกลุ่ม HMG-CoA reductase inhibitors ซึ่งเป็นยาที่ใช้ลดคอเลสเทอรอลและไขมันในเลือด ยังมีผลยับยั้งการสังเคราะห์ “คิวเทน” ด้วย และการเจ็บป่วยก็จะทำให้ร่างกายมีระดับ “คิวเทน” ต่ำมาก ดังนั้นการได้รับ “คิวเทน” โดยตรงจากอาหาร จึงมีความจำเป็นมากขึ้น
สำหรับประโยชน์ของ “คิวเทน” ต่อสุขภาพและความงามนั้น ดร.เอกราช เปิดเผยว่า ด้วยเหตุที่ “คิวเทน” ทำหน้าที่ในกระบวนการเสริมสร้างพลังงานให้แก่ทุกๆเซลล์ และต่อต้านอนุมูลอิสระไม่ให้ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกาย จึงมีการนำมาใช้ในด้านความสวยความงาม
“คิวเทน” ที่ได้รับจากอาหารจะถูกดูดซึมได้ดีกว่าการดูดซึมเข้าสู่ผิวหนัง ดังนั้นผลในด้านสุขภาพโดยรวมจะมีมากกว่าในด้านผิวพรรณ
ส่วนที่มีการนำ “คิวเทน” ไปผสมในเครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกนั้น จะสามารถซึมผ่านผิวหนังชั้นนอกได้ประมาณ 20% และซึมผ่านผิวหนังแท้ได้ประมาณ 3%
จากผลวิจัยที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้พบว่า “คิวเทน”ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายโดยรังสียูวีจากแสงแดด และช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของ “คิวเทน” ที่มีในผลิตภัณฑ์และความสามารถของพาหะหรือตัวกลางที่จะพา “คิวเทน” เข้าสู่ผิวหนังด้วย หากตัวกลางหรือตัวทำละลายมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ จึงควรทดสอบการแพ้ก่อนนำไปใช้ และยังไม่พบผลโดยตรงที่ช่วยให้ขาวขึ้น
สุดท้าย ดร.เอกราชได้แนะนำถึงการบริโภคว่า แต่ละวันควรบริโภคอาหารให้ได้รับคิวเทน 20-30 มิลลิกรัม โดยกินร่วมกับอาหารที่มีไขมัน เพราะ “คิวเทน” ละลายได้ดีในไขมัน
หากได้รับ “คิวเทน” น้อยเกินไปอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย จากการที่เซลล์ไม่สามารถสร้างพลังงานอย่างเพียงพอทั้งภายนอกและภายในร่างกาย และมีผลให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง “คิวเทน” ถือว่ามีความปลอดภัยสูง ไม่พบผลข้างเคียงใดๆที่รุนแรงจาก
การบริโภค ปริมาณสูงถึง 300-600 มิลลิกรัมต่อวัน นอกจากอาการคลื่นไส้ไม่สบายท้อง อย่างไรก็ตาม การกินในปริมาณนี้ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีสุขภาพดี การกินต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ และไม่ควรกินต่อเนื่องกันเป็นเวลานานโดยไม่มีระยะพักอีกด้วย.
ปริมาณการใช้ในทางการแพทย์
- ใช้เพื่อบำรุงร่างกาย วันละ 30-200 มิลลิกรัมต่อวัน
- รักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 150-600 มิลลิกรัมต่อวัน โดยแบ่งรับประทานตามจำนวนครั้งที่แพทย์กำหนด
- รักษาภาวะหัวใจวาย 50-150 มิลลิกรัมต่อวัน แบ่งเป็นวันละ 2-3 ครั้ง
โคเอ็นไซม์คิวเทน เป็นสารคล้ายวิตามินที่มีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญพลังงานของเซลล์ ซึ่งมีส่วนช่วยในการแปลงไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และแอลกอฮอล์ เป็นสาร เอทีพี ATP (adenosine triphosphate) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่เก็บพลังงานในรูปพลังงานทางเคมี
เมื่อเซลล์ต้องการพลังงานมันจะแตกโมเลกุลเอทีพี เพื่อปล่อยพลังงานที่อยู่ภายในออกมา กระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเซลล์ ที่มีโครงสร้างคล้ายรูปถั่วเล็ก ๆ เรียกว่า ไมโทคอนเดรีย (mitochondria)
เซลล์กล้ามเนื้อต้องการพลังงาน ในปริมาณมากเพราะเซลล์กล้ามเนื้อประกอบด้วย ไมโทคอนเดรีย มากกว่าเซลล์ชนิดอื่น ๆ
กล้ามเนื้อหัวใจเป็นเนื้อเยื่อตัวอย่างที่ดีในร่างกายที่มีความหนาแน่นของไมโทคอนเดรีย เนื่องจากหัวใจต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาล และนอกจากนี้ โคเอ็นไซม์คิวเทน ยังเป็นสารที่ต้านอนุมูลอิสระได้อีกด้วย
คิวเทน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
ความสามารถของโคเอ็นไซม์คิวเทน ในการจับและแจกจ่ายอิเล็กตรอนทำให้มันเหมาะสำหรับการขจัดอนุมูลอิสระที่เรียกว่า Reactive Oxygen Species - ROS ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากจากการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย หรือเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกเช่น การได้รับคลื่นกัมมันตภาพรังสีรังสี หรือสารพิษทางเคมี สารที่มีคุณสมบัตินี้จะเรียกว่าสารต้านอนุมูลอิสระ
นอกจากนี้มนุษย์เรามีความสามารถในการสังเคราะห์ โคเอ็นไซม์คิวเทน ได้เอง การผลิตจะเกิดขึ้นภายในเนื้อเยื่อภายในตับ แต่เมื่ออายุที่เพิ่มขึ้น หรือผลของการเกิดโรคทำให้ความสามารถในการผลิต คิวเทน ของเราลดลงได้ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ปริมาณ คิวเทน สูงสุดในร่างกายขอเราจะมีในช่วงอายุ 20-25 ปี หลังจากช่วงระยะดังกล่าวการผลิตสารนี้จะเริ่มลดลง
แม้ว่าจะยังไม่มีผลการศึกษาอย่างชัดเจน แต่ คาดกันว่าอาหารที่เรารับประทานอยู่ตามปกติ ให้โคเอ็นไซม์ คิวเทน ระหว่าง 5-20 มก. และร่างกายมี คิวเทน สำรองของตัวเองที่ 1-1.5 กรัม โดยที่สารนี้จะมีอยู่มากสุดในหัวใจ ตับ และไต
คิวเทน และโคเลสเตอรอล
คิวเทน และคอเลสเตอรอลมีเส้นทางการสังเคระห์ทางชีวเคมีร่วมกัน (คอเลสเตอรอลยังสามารถสังเคราะห์ได้ในตับด้วย) มีการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ยาลดคอเลสเตอรอลบางชนิดยับยั้งการผลิตคิวเทน ภายในร่างกาย
สรุป
มีเหตุผลทางชีวเคมีหลายอย่างที่ส่งเสริมการใช้โคเอ็นไซม์ คิวเทน ได้แก่ :
- คิวเทนมีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย และการเสริมสารนี้แก่ร่างกายแสดงให้เห็นถึงการสร้างพลังงานที่เพิ่มขึ้น
- คิวเทน อาจเป็นสารตัวต้านอนุมูลอิสระที่สามารถละลายได้ในไขมัน(lipid-soluble antioxidant) ที่สำคัญที่สุด ซึ่งอยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์ และไลโปโปรตีน (lipoprotein)ในเลือด
- การสังเคราะห์ คิวเทนของร่างกาย จะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น เริ่มจากในช่วงวัยยี่สิบต้นๆ
- การสังเคราะห์ คิวเทนของร่างกายมีความเชื่อมโยงกับการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลอยู่บ้าง และการใช้ คิวเทน อาจถูกนำมาใช้ร่วมกับยาลดโคเลสเตอรอลบางชนิด