- ยาระบายกลุ่มเส้นใยหรือไฟเบอร์ (Fiber Supplements) จะช่วยเพิ่มปริมาตรในอุจจาระให้มีมากขึ้นและบางตัวมีสารที่มีคุณสมบัติในการดูดน้ำได้ดี อุจจาระจึงนิ่มและถ่ายออกได้ง่าย เช่น ยาไซเลียม (Psyllium) ยาพอลิคาร์บอฟิล (Calcium Polycarbophil) ยาเมทิล เซลลูโลส (Methylcellulose Fiber)
- ยาระบายกลุ่มกระตุ้น (Stimulants) จะช่วยกระตุ้นจังหวะการบีบตัวของลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น เช่น ยาดัลโคแลค (Dulcolax) ยาบิซาโคดิล (Bisacodyl) ยาเซนโนไซด์ (Sennosides)
- ยาระบายกลุ่มออสโมซิส (Osmotic Laxatives) จะออกฤทธิ์ดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่ลำไส้ใหญ่มากขึ้น ทำให้อุจจาระไม่แห้งและแข็งจนถ่ายออกลำบาก เช่น ยาแมกนิเซียม ไฮดรอกไซด์ (Magnesium Hydroxide) ยาแลคตูโลส (Lactulose) ยาแมกนีเซียม ซิเตรท (Magnesium Citrate) ยาโพลีเอทิลีน ไกลคอล (Polyethylene Glycol: PEG)
- ยาช่วยหล่อลื่นอุจจาระ (Lubricant) เป็นยาที่ช่วยเพิ่มความลื่นให้กับลำไส้ อุจจาระจึงเคลื่อนตัวได้ง่ายขึ้น เช่น มิเนอรอล ออยด์ (Mineral Oils)
- ยาที่ช่วยให้อุจจาระอ่อนตัว (Stool Softeners) มีฤทธิ์ช่วยให้อุจจาระนิ่มจนง่ายต่อการเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ เช่น ยาในกลุ่มด๊อกคิวเซท (Docusate Sodium/Docusate Calcium)
- ยาเหน็บและการสวนอุจจาระ (Suppositories/Enemas) ยาเหน็บช่วยทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มลงและเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ในการขับอุจจาระมากขึ้น เช่น โซเดียม ฟอสเฟต (Sodium Phosphate) แต่ในกรณีที่อุจจาระแข็งมากอาจแนะนำให้มีการสวนอุจจาระที่อุดตันออกก่อน อาจเป็นการสวนด้วยน้ำเปล่า น้ำสบู่ หรือชุดสวนอุจจาระสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของยาบิซาโคดิล (Bisacodyl) หรือกลีเซอรีน (Glycerin) จากนั้นจึงค่อยรักษาด้วยยาในกลุ่มรับประทานยาต่อ
ยาระบายแก้ท้องผูก
อาการท้องผูก คือ การขับถ่ายเป็นเรื่องยาก ต้องนั่งนานถึงครึ่งชั่วโมงเพื่อเบ่งถ่าย ถ่ายออกมาน้อย อุจจาระแข็งมีลักษณะเป็นเม็ด รู้สึกอึดอัดแน่นท้อง
ชนิดของยาระบาย
เทียนเกล็ดหอย
- น้ำตาลเชิงซ้อนที่มีน้ำตาลเชิงเดี่ยวหลายชนิด (galactose, glucose, xylose, arabinose, rhamnose, galacturonic acid, plantiobiose, sucrose, fructose) ส่วนใหญ่เป็น arabinoxylan
- กรดไขมันหลายชนิด: palmitic acid, stearic acid, linoleic acid, oleic acid
- เส้นใยไฟเบอร์ (Fibers)
- เยื่อเมือก (Mucilage)
- ห้ามกลืนผงยา ispaghula husk โดยที่ปราศจากน้ำ เพราะจะทำให้ผงยาพองตัวในทางเดินอาหาร ทำให้เกิดการสำลักหรืออุดตันบริเวณลำคอ หลอดอาหาร และลำไส้ได้ อาจทำให้มีอาการปวดหน้าอก อาเจียน กลืนลำบาก หรือหายใจลำบากได้
- ในระหว่างการเตรียมผสมยา พยายามเลี่ยงการสูดดมผงยาเข้าปอด เพื่อลดความเสี่ยงภาวะภูมิไวเกิน (แพ้) ต่อตัวยา ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้
- ห้ามผสมผงยาในน้ำร้อนให้รับประทานยาหลังผสมทันที ห้ามทิ้งไว้จนเป็นวุ้น
- ห้ามรับประทานยาก่อนนอน ควรรับประทานในตอนกลางวัน และห่างจากยาอื่นอย่างน้อย 30 นาที
- ตัวยาจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 12-24 ชั่วโมงหลังกินยาเข้าไป
- ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เพราะยังไม่มีข้อมูลที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพเพียงพอ ในข้อบ่งใช้รักษาผู้ป่วยที่สมควรได้รับอาหารที่มีไฟเบอร์ต่อวันเพิ่มขึ้น
- ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในผู้ที่มีก้อนอุจจาระอัดแน่นในลำไส้ใหญ่ และมีอาการต่อไปนี้ เช่น ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ยกเว้นแนะนำโดยแพทย์ เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจเป็นอาการแสดงของลำไส้อุดตัน (Ileus) อยู่ก่อนหน้านี้หรือมีโอกาสจะเกิดขึ้นได้ คนที่กำลังท้อง หรือคนที่ให้นมบุตรอยู่ สามารถรับประทานได้ไหม
บทความล่าสุด
วิตามินบี 1 6 12 ทางเลือกเสริมดูแลอาการปวดปลายประสาท
วิตามินบี 1 6 12 ในรูปแบบผสมจะมีการทำงานที่เสริมฤทธิ์กันและให้ผลการรักษาที่ดีกว่าใช้แบบเดี่ยว ๆ
ไขความลับปัญหาผมร่วง : ปัจจัยเสี่ยง วิธีป้องกัน และการดูแลที่ถูกต้อง
รากผมเป็นส่วนสำคัญมากต่อการสร้างเส้นผม และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาผมร่วงได้มากที่สุด
เรื่องควรรู้เกี่ยวกับการใช้ฮอร์โมนในคนข้ามเพศวัยผู้ใหญ่: ปลอดภัย เข้าใจง่าย ดูแลตัวเองได้
การให้บริการสุขภาพแก่คนข้ามเพศเป็นไปเพื่อสนับสนุนให้คนข้ามเพศใช้ชีวิตได้ตามสิทธิอย่างเสมอภาค

