พลาสเตอร์ แผ่นปิดแผล ผ้าพันแผลแบบต่างๆ
หลายคนมักรู้จัก พลาสเตอร์ยา ในฐานะผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับปิดแผลเมื่อร่างกายได้รับบาดเจ็บเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้น
แต่ความเป็นจริงแล้ว พลาสเตอร์ยา เป็นชื่อทางการค้าของแถบปิดแผลที่เข้ามาจำหน่ายที่ประเทศไทยเจ้าแรก ความจริงแผ่นปิดแผล (Dressing) กับผ้าพันแผล (Bandage) มีหลากหลายชนิด จะเลือกใช้ชนิดไหนนั้นขึ้นอยู่กับชนิด ลักษณะของบาดแผล และการใช้งาน
ปัจจุบันมีวัสดุที่สามารถนำมาใช้เป็นแผ่นปิดแผลได้หลากหลายชนิด มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เหมาะสำหรับแผลแต่ละแบบ ได้แก่
1. ผ้าก๊อซ (Gauze)
ผ้าก๊อซเป็นวัสดุปิดแผลที่นิยมใช้กันโดยส่วนใหญ่ เพราะราคาถูกและหาซื้อได้ง่ายผ้าก๊อซมี 2 ประเภท คือ
นอกจากจะใช้สำหรับปิดแผลแล้ว สามารถนำผ้าก๊อซมาชุบน้ำเกลือปิดบริเวณบาดแผล ปล่อยให้แห้ง แล้วดึงออก เพื่อให้เนื้อเยื่อที่ตายหลุดออกมา เป็นวิธีหนึ่งในการเตรียมบาดแผลให้เหมาะสมสำหรับกระบวนการหายของแผล
แต่ผ้าก๊อซไม่สามารถดูดซับน้ำเหลืองจากบาดแผลปริมาณมากได้ ไม่มีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับแผล และผ้าก๊อซที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติจะทิ้งเศษผ้าก๊อซไว้ที่แผล เมื่อดึงออกจะทำให้เกิดการบาดเจ็บที่แผลได้
ผ้าก๊อซเหมาะใช้สำหรับแผลที่มีปริมาณน้ำเหลืองที่หลั่งจากแผลเล็กน้อย-ปานกลาง
2. ฟิล์ม (Semi-permeable film)
วัสดุปิดแผลที่มีลักษณะเป็นแผ่นฟิล์มใสทำจากโพลียูรีเทน (Polyurethane) มีคุณสมบัติยอมให้ไอน้ำและแก๊สผ่านได้ สามารถป้องกันการปนเปื้อนจากเชื้อโรค
วัสดุปิดแผลที่ทำจากฟิล์มสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นให้แผล ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ให้แผลหาย
ฟิล์มมีลักษณะโปร่งใส แพทย์จึงมองเห็นบาดแผลเพื่อติดตามการรักษาได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวัสดุปิดแผลให้แผลได้รับการบาดเจ็บซ้ำๆ
แต่ฟิล์มจะไม่สามารถดูดซับน้ำเหลืองปริมาณมากจากแผลได้ ทำให้เนื้อเยื่อรอบแผลเกิดการเปื่อยยุ่ย และทำให้แผลหายช้า
การใช้แผ่นปิดแผลแบบฟิล์มไม่เหมาะกับแผลที่มีการติดเชื้อ เพราะฟิล์มจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
ฟิล์มเหมาะกับแผลที่เกิดจากการฉีกขาดหรือถลอก ,แผลที่มีปริมาณน้ำเหลืองเล็กน้อย
แผลบริเวณข้อต่อหรือบริเวณที่มีการเสียดสี (เพราะฟิล์มมีความยืดหยุ่น ไม่หลุดง่าย)
3. ไฮโดรเจล (Hydrogels)
วัสดุปิดแผลนี้ประกอบด้วยโพลิเมอร์เชิงซ้อน เช่น แป้ง เซลลูโลส โดยมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่า 80% ทำให้วัสดุปิดแผลชนิดนี้จะปล่อยโมเลกุลของน้ำไปที่แผล เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่แผลที่แห้ง
กระบวนการนี้ส่งเสริมให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อและชั้นผิวหนังกำพร้า และกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการกำจัดเนื้อเยื่อที่ตายออกจากแผลเพิ่มขึ้น
วัสดุปิดแผลที่ทำจากไฮโดรเจลมีความสามารถในการดูดซับน้ำเหลืองได้น้อย จำเป็นต้องใช้วัสดุปิดแผลอีกชั้น(Secoundary dressing) เพื่อป้องกันน้ำเหลืองรั่วซึม
หากนำมาใช้กับแผลที่มีน้ำเหลืองปริมาณมาก จะทำให้ผิวหนังรอบๆ ที่สัมผัสกับไฮโดรเจลเกิดการเปื่อยยุ่ย ส่งผลให้แผลหายช้าได้
ไฮโดรเจลเหมาะกับแผลแผลเนื้อตาย แผลแห้ง ขาดความชุ่มชื้น
4. อัลจิเนต (Alginates)
วัสดุปิดแผลนี้ประกอบด้วยเกลือของโซเดียมและเกลือของโพแทสเซียม ที่ประกอบกันเป็นเส้นใยเชิงซ้อนคล้ายโครงสร้างของพืชสาหร่าย
ส่วนประกอบดังกล่าวจะทำปฏิกิริยากับโซเดียมจากน้ำเหลืองของแผล เกิดเป็นสารที่มีลักษณะเหมือนเจล เจลที่เกิดขึ้นสามารถดูดซับน้ำเหลืองได้ถึง 20 เท่าของน้ำหนัก และอัลจิเนตยังสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นให้แผล เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมา
แต่วัสดุปิดแผลที่ทำจากอัลจิเนตจำเป็นต้องใช้วัสดุปิดแผลอีกชั้นร่วมด้วย และไม่เหมาะกับแผลที่แห้ง เพราะอัลจิเนตจะดูดซับน้ำเหลืองจากแผลจนทำให้แผลแห้งเกินไปจนวัสดุติดกับแผล ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บเมื่อเปลี่ยนวัสดุปิดแผล
อัลจิเนตเหมาะกับแผลที่มีปริมาณน้ำเหลืองที่หลั่งจากแผลปานกลาง ควรตัดวัสดุปิดแผลให้พอดีกับแผล เพื่อป้องกันการเปื่อยยุ่ยที่บริเวณขอบแผล
5. ไฮโดรคอลลอยด์ (Hydrocolloids)
ไฮโดรคอลลอยด์มี 2 ชั้น ได้แก่ ชั้นในที่ทำจากเจลาตินหรือแพกตินที่มีคุณสมบัติชอบน้ำ และชั้นนอกที่เป็นฟิล์ม ทำหน้าที่ป้องกันการปนเปื้อนจากภายนอก
เมื่อชั้นในดูดซับน้ำเหลือง จะขยายตัวเป็นเจล ให้ความชุ่มชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสมแก่แผล เมื่อวัสดุปิดแผลดูดซึมน้ำเหลืองจากแผลไป จะทำให้บริเวณฐานของแผลมีความเป็นกรดมากขึ้น จึงช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้
ปัจจุบันได้มีการนำไฮโดรคอลลอยด์ไปพัฒนาจนเป็นไฮโดรไฟเบอร์ (Hydrofiber) เพื่อดูดซับปริมาณน้ำเหลืองได้มากขึ้น สามารถปิดแผลได้นานจนกว่าไฮโดรไฟเบอร์จะอิ่มตัว และมีการกระจายตัวของน้ำเหลืองน้อย ทำให้ลดการเกิดการเปื่อยยุ่ยที่บริเวณขอบแผล
ไฮโดรคอลลอยด์ไม่จำเป็นต้องใช้วัสดุปิดแผลอีกชั้นและสามารถปิดแผลได้นาน 2-4 วันโดยไม่ต้องเปลี่ยน แต่ข้อเสียของวัสดุชนิดนี้คือ อาจเกิดการสับสนกับภาวะแผลติดเชื้อได้ เพราะเจลที่ดูดซับน้ำเหลืองจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและมีกลิ่นเหม็น
ไฮโดรคอลลอยด์เหมาะกับแผลที่มีปริมาณน้ำเหลืองที่หลั่งจากแผลปานกลาง-มาก
แผลที่มีการกดทับหรือเสียดสี
6. โฟม (Foam)
แผ่นปิดแผลที่ใช้วัสดุโฟม ทำมาจากโพลียูรีเทน มีคุณสมบัติดูดซับน้ำได้ปริมาณมาก ป้องกันการรั่วซึมจากบาดแผล และรักษาความชุ่มชื้นให้แก่แผล
โฟมมีความหนาและนุ่ม จึงช่วยลดแรงกดทับของแผลบริเวณก้นกบ ตาตุ่ม หรือส้นเท้า นอกจากนี้ยังสามารถใช้กับแผลโพรงลึกได้
แต่หากผู้ป่วยมีการขยับตัวมาก โฟมอาจเลื่อนหลุดออกมา อีกทั้งเนื่องจากโฟมมีลักษณะขุ่น ทำให้สังเกตลักษณะของแผลด้านในได้ยาก
โฟมเหมาะกับแผลที่มีปริมาณน้ำเหลืองหลั่งจากแผลปานกลาง-มาก แผลที่กำลังสร้างเนื้อเยื่อใหม่หรือแผลที่มีเนื้อตายเปื่อยยุ่ย ไม่ควรใช้กับแผลที่แห้ง ขาดความชุ่มชื้น
7. แผ่นปิดแผลที่มีสารต้านจุลชีพ (Antibacterial dressings)
ปัจจุบันวัสดุปิดแผลหลายชนิดมีการพัฒนาเพื่อสามารถใช้กับแผลที่มีการติดเชื้อได้ โดยเพิ่มสารที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อเข้าไปในวัสดุปิดแผล ได้แก่
น้ำผึ้ง มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและสนับสนุนให้ร่างกายเกิดกระบวนการที่ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
น้ำตาลที่มีมากในน้ำผึ้งยังช่วยยับยั้งการเจริญแบคทีเรีย และเมื่อน้ำผึ้งถูกละลายด้วยน้ำเหลืองจากแผล จะทำให้เกิดสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งจะไปทำลายผนังเซลล์ โปรตีน และกรดนิวคลีอิกของเชื้อแบคทีเรีย
นอกจากนั้นน้ำผึ้งยังช่วยลดการอักเสบของแผล ด้วยการดึงน้ำจากเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บออก ทำให้ลดการบวมของบาดแผล และกระตุ้นให้มีการไหลเวียนของระบบน้ำเหลืองที่ดีขึ้น
น้ำผึ้งที่นำมาใช้ในกระบวนการรักษาต้องปราศจากเชื้อโรค โดยนำไปผ่านรังสีแกมมาก่อนซิลเวอร์ ออกฤทธิ์กำจัดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และยีสต์ อะตอมของซิลเวอร์จะจับกับผนังเซลล์และเยื่อหุ้มเซลล์ เพื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ของเชื้อ จนทำลายเชื้อดังกล่าวในที่สุด
โดยซิลเวอร์สามารถกำจัดเชื้อที่บริเวณบาดแผล และเชื้อที่อยู่ในวัสดุปิดแผลที่มากับน้ำเหลืองได้อีกด้วย ซิลเวอร์จะช่วยลดปริมาณเชื้อ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
แผ่นปิดแผลที่มีสารต้านจุลชีพเหมาะกับแผลไฟไหม้ แผลผ่าตัด แผลกดทับ แผลเรื้อรังจากเบาหวาน