วิตามินซี คือ
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับวิตามินซีกันก่อน “วิตามินซี” หรือ กรดแอสคอร์บิก (ascorbic acid) เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ วิตามินซีมีประโยชน์มากมาย เช่นใช้รักษาและป้องกันโรคลักปิดลักเปิด และวิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ antioxidant มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อในร่างกาย ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น และมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน แต่ประโยชน์ของวิตามินซีที่กล่าวถึงกันมากคือป้องกันหวัด
วิตามินซีป้องกันหวัดได้จริงหรือ?
จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าการรับประทานวิตามินซีเป็นประจำทุกวันไม่สามารถป้องกันหวัดได้ และไม่มีผลลดความเสี่ยงในการเป็นหวัด ยกเว้นผู้ที่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเป็นประจำ จะสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้ถึง 50% อย่างไรก็ตามพบว่าการรับประทานวิตามินซีเป็นประจำทุกวันจะสามารถช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาในการเป็นหวัดได้
ขนาดวิตามินซีที่แนะนำให้รับประทานเพื่อลดความรุนแรงและระยะเวลาในการเป็นหวัดคือ 1-3 กรัมต่อวัน และในผู้ที่ไม่เคยรับประทานวิตามินซีมาก่อน หากเป็นหวัดแล้วจึงเริ่มรับประทานวิตามินซี จะไม่สามารถช่วยลดความรุนแรงหรือระยะเวลาในการเป็นหวัดได้เลย
การดูดซึมวิตามินซี
การดูดซึมของวิตามิซีขึ้นอยู่กับปริมาณที่รับประทานเข้าไปในแต่ละครั้ง แต่การดูดซึมวิตามินซีมีจุดอิ่มตัวในการดูดซึม กล่าวคือการรับประทานวิตามินซีปริมาณมากเกินจุดอิ่มตัวของการดูดซึม ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีไปใช้ได้เพิ่มขึ้น
การรับประทานวิตามินซีครั้งละ1,000-1,500 มิลลิกรัม พบว่าร่างกายจะดูดซึมวิตามินซีได้เพียง 50% นอกจากนี้ยังพบว่าขนาดของวิตามินซีที่รับประทานต่อครั้งมีผลต่อการดูดซึม คือการรับประทานวิตามินซีขนาดสูงร่างกายจะดูดซึมวิตามินได้น้อยกว่าการรับประทานวิตามินซีขนาดต่ำ
การรับประทานวิตามินซีวันละหลายครั้งในขนาดที่ต่ำกว่า 1 กรัม จนครบขนาดที่แนะนำต่อวัน ร่างกายจะสามารถดูดซึมวิตามินซีได้มากกว่าการรับประทานทั้งหมดในครั้งเดียว
นอกจากนี้ปริมาณการดูดซึมวิตามินซียังอาจแตกต่างกันไปขึ้นกับรูปแบบและส่วนประกอบอื่นๆ ในผลิตภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์วิตามินซีในท้องตลาดมีอะไรบ้าง?
เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินซีได้เอง ส่วนใหญ่ร่างกายได้รับจากการรับประทานผักและผลไม้ แต่ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์วิตามินซีวางจำหน่ายอยู่หลากหลายขนาดและรูปแบบ ได้แก่
1. รูปแบบเม็ดสำหรับรับประทาน: มีขนาดตั้งแต่ 25 ถึง 1,000 มิลลิกรัม แต่วิตามินซีสำหรับผู้ใหญ่ที่นิยมมี 2 ขนาดคือ 500 และ 1,000 มิลลิกรัม โดยขนาด 500 มิลลิกรัม บางบริษัทจะทำให้อยู่ในรูปแบบ buffered ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบทั่วไปคือ วิตามินซีจะถูกปลดปล่อยออกจากเม็ดยาอย่างช้าๆ แต่ระดับวิตามินซีในกระแสเลือดเมื่อรับประทานรูปแบบ buffered ไม่แตกต่างจากรูปแบบเม็ดทั่วไปที่มีการปลดปล่อยทันที อย่างไรก็ตามรูปแบบ buffered จะระคายเคืองกระเพาะอาหารน้อยกว่ารูปแบบเม็ดที่มีการปลดปล่อยทันที จึงอาจเป็นผลดีต่อผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร ข้อเสียของรูปแบบเม็ดแบบนี้คือเม็ดยามีขนาดใหญ่ กลืนลำบาก
2. รูปแบบเม็ดอม: มีขนาด 25, 50, 100 และ 500 มิลลิกรัม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการกลืนเม็ดยา แต่เนื่องจากวิตามินซีเป็นกรดเมื่ออมบ่อยๆ อาจทำให้ฟันกร่อนได้ เนื่องจากกรดทำให้เคลือบฟันบางลง
3. รูปแบบเม็ดเคี้ยว: มีขนาด 30 มิลลิกรัม เหมาะสำหรับเด็ก ซึ่งมีการแต่งสีและรสของวิตามินซีให้น่ารับประทาน หากรับประทานในปริมาณมากๆ อาจทำให้ฟันผุได้ เนื่องจากวิตามินซีในรูปแบบนี้มีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูง
4. รูปแบบเม็ดฟู่: มีขนาด 500 และ 1,000 มิลลิกรัม จะแตกต่างจากรูปแบบเม็ดสำหรับรับประทานทั่วไปคือ ต้องนำเม็ดยาไปละลายน้ำก่อน เมื่อเม็ดยาสัมผัสกับน้ำ จะเกิดเป็นฟองฟู่ ก่อนรับประทานจึงควรรอให้ฟองหมดก่อน เนื่องจากฟองแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้น เมื่อรับประทานเข้าไปอาจทำให้อืดแน่นท้อง ซึ่งรูปแบบเม็ดฟู่นี้เป็นรูปแบบที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการกลืนเม็ดยาหรือไม่สามารถกลืนเม็ดยาขนาดใหญ่ได้
5. รูปแบบแคปซูล: มีขนาด 500 มิลลิกรัม ซึ่งมีทั้งชนิดแคปซูลแข็งและแคปซูลนิ่ม โดยส่วนใหญ่การกลืนเม็ดแคปซูลทำได้ง่ายกว่ารูปแบบเม็ดสำหรับรับประทาน
6. รูปแบบสารละลายสำหรับฉีด: มีขนาด 500 มิลลิกรัม เป็นรูปแบบที่ไม่เหมาะสำหรับการใช้เป็นประจำทุกวันหรือเพื่อป้องกันหวัด เพราะต้องให้แพทย์หรือพยาบาลฉีดยาให้
วิตามินซีในรูปกรดแอสคอร์บิก (ascorbic acid) และ เกลือของกรดแอสคอร์บิก (mineral ascobate)
เกลือของกรดแอสคอร์บิกมีสมบัติเป็น buffered มีความเป็นกรดน้อยกว่าวิตามินซีในรูปกรดแอสคอร์บิก จึงมีผลระคายเคืองกระเพาะอาหารน้อยกว่ากรดแอสคอร์บิก เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น เคยมีอาการมวนท้องทั้งก่อนและหลังรับประทานวิตามินซี หรือท้องเสีย เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีผลช่วยเพิ่มการดูดซึมและความคงตัวของวิตามินซี เกลือของกรดแอสคอร์บิกที่มีวางจำหน่ายในปัจจุบัน ได้แก่ โซเดียม แอสคอร์เบท (sodium ascorbate) แคลเซียม แอสคอร์เบท (calcium ascorbate) โพแทสเซียม แอสคอร์เบท (potassium ascorbate) แมกนีเซียม แอสคอร์เบท (magnesium ascorbate) ซิงค์ แอสคอร์เบท (zinc ascorbate) โมลิบดินัม แอสคอร์เบท (molybdenum ascorbate) โครเมียม แอสคอร์เบท (chromium ascorbate) และ แมงกานีส แอสคอร์เบท (manganese ascorbate) เป็นต้น
แต่การเลือกใช้ควรคำนึงถึงสภาวะหรือโรคประจำตัวของผู้บริโภค เนื่องจากเกลือต่างๆ นี้จะถูกดูดซึมไปพร้อมกับวิตามินซีด้วย ดังนั้นอาจต้องระมัดระวังในการรับประทาน เช่น โซเดียม แอสคอร์เบท ควรระมัดระวังการใช้ในผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงหรือต้องจำกัดปริมาณโซเดียม หรือกรณี โพแทสเซียม แอสคอร์เบท ควรระมัดระวังในผู้ที่มีภาวะไตวาย เป็นต้น
วิตามินซีและไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavonoids)
ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่อ้างว่าเป็นวิตามินซีจากธรรมชาติ นอกจากวิตามินซีในรูปกรดแอสคอร์บิกแล้ว ในผลิตภัณฑ์ยังมีส่วนผสมของสารประกอบจากธรรมชาติอื่นคือ ไบโอฟลาโวนอยด์ จากการศึกษาพบว่าไบโอฟลาโวนอยด์มีผลเพิ่มการดูดซึมของวิตามินซี อย่างไรก็ตามบางการศึกษายังไม่พบประโยชน์ของไบโอฟลาโวนอยด์ในการช่วยเพิ่มการดูดซึมของวิตามินซี
ความแตกต่างระหว่างวิตามินซีในรูปกรดแอสคอร์บิกและวิตามินซีเอสเทอร์
วิตามินซีในรูปกรดแอสคอร์บิกโดยทั่วไปมีสมบัติเป็นวิตามินที่ละลายน้ำ ส่วนวิตามินซีเอสเทอร์ เช่น แอสคอร์บิล ปาล์มิเตต (ascorbyl palmitate) เป็นรูปแบบที่ละลายในไขมัน ซึ่งมีข้อดีคือทำให้วิตามินซีดูดซึมทั้งในลำไส้และซึมผ่านผิวหนังได้ดี นอกจากนี้ยังมีความคงตัวดีกว่าวิตามินซีในรูปกรดแอสคอร์บิก ปัจจุบันนิยมใช้เตรียมเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ภายนอกทั้งบริเวณผิวหนังและใบหน้า
เอสเทอร์-ซี (Ester-C®) และวิตามินซีเอสเทอร์
หลายคนคงอาจสับสนว่า Ester-C® และวิตามินซีเอสเทอร์ เป็นวิตามินซีรูปแบบเดียวกัน แต่ที่จริงแล้ว Ester-C® คือผลิตภัณฑ์วิตามินซีที่วางจำหน่ายในท้องตลาด ประกอบด้วย แคลเซียม แอสคอร์เบท เป็นส่วนใหญ่ในตำรับ ซึ่งวิตามินซีในผลิตภัณฑ์ Ester-C® จัดว่าเป็นวิตามินซีชนิดละลายน้ำ แต่วิตามินซีเอสเทอร์เป็นวิตามินซีละลายในไขมันและมีสมบัติดังที่กล่าวมาแล้วในหัวข้อข้างต้น
สรุป จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์วิตามินซีมีหลายรูปแบบ แต่รูปแบบที่นิยมใช้สำหรับลดความรุนแรงหรือระยะเวลาในการเป็นหวัด คือรูปแบบเม็ดสำหรับรับประทาน แคปซูล และเม็ดฟู่ ที่มีปริมาณวิตามินซีขนาด 500 และ 1,000 มิลลิกรัม ซึ่งถ้าเป็นรูปแบบหรือขนาดอื่นอาจไม่สะดวกต่อการรับประทาน
นอกจากนี้ขนาดวิตามินซีที่เหมาะสำหรับลดความรุนแรงหรือระยะเวลาในการเป็นหวัดเป็นขนาดที่ค่อนข้างสูงคือ 1-3 กรัมต่อวัน ถ้าเลือกผลิตภัณฑ์วิตามินซีที่มีปริมาณวิตามินซีน้อยอาจต้องรับประทานผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการเลือกรับประทานวิตามินซีควรพิจารณาให้เหมาะสมกับความต้องการแต่ละบุคคลและวัตถุประสงค์ของการรับประทาน
เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง และเก็บสะสมไว้เผื่อใช้ไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหาร จัดอยู่ในกลุ่มแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการปริมาณน้อย (Trace Minerals) คือร่างกายต้องการน้อยกว่าวันละ 100 มิลลิกรัม แต่มีบทบาทสำคัญหลากหลายต่อร่างกาย
ในร่างกายมีสังกะสีประมาณ 1 – 2.5 กรัม พบได้มากในกระดูก ฟัน เส้นผม ผิวหนัง ตับ กล้ามเนื้อ และอัณฑะ สังกะสีเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ในร่างกายมากกว่า 300 ชนิด ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต การสร้างโปรตีน การสร้างภูมิคุ้มกันโรค การเจริญของระบบสืบพันธุ์ การมองเห็น การหายของบาดแผล และป้องกันเซลล์จากการทำลายโดยอนุมูลอิสระ
แร่ธาตุชนิดนี้มีมากในอาหารโปรตีน เช่นเนื้อสัตว์และปลา ร่างกายเราไม่สามารถผลิตหรือเก็บสะสมสังกะสีไว้ จึงต้องรับให้เพียงพออยู่เสมอ
ส่วนใหญ่ของสังกะสีที่รับประทานเข้าไป แล้วไม่ถูกดูดซึม จะถูกขับถ่ายออกทางอุจจาระและปัสสาวะซึ่งคนปกติจะขับถ่ายสังกะสีออกประมาณวันละ 300 – 600 ไมโครกรัม
ความสำคัญของสังกะสี
ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2506 โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์อนันดา เอส.ประสาด ผู้ศึกษาพบความสำคัญของธาตุสังกะสีต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย โดยได้ตรวจพบผู้ป่วยขาดธาตุสังกะสีมีร่างกายแคระแกร็น มีการพัฒนาการในด้านต่างๆ รวมทั้งพัฒนาการทางเพศที่ล่าช้า พัฒนาการของกระดูกผิดปกติ โลหิตจาง ตับและม้ามโต เมื่อรักษาโดยการเสริมธาตุสังกะสีแล้ว ผู้ป่วยมีการเติบโตและพัฒนาการกลับมาดีขึ้น ทั้งในด้านความสูง น้ำหนัก พัฒนาการของกระดูกและพัฒนาการทางเพศ และยังพบว่าการขาดธาตุสังกะสีทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเนื่องจากร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลง
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
1. การเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์ : ธาตุสังกะสีมีความสำคัญเป็นพิเศษต่อทารกในครรภ์ที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ธาตุสังกะสีมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเติบโต การพัฒนาส่วนสูง น้ำหนักและกระดูกในทารก เด็กและวัยรุ่น ในสตรีมีครรภ์ควรได้รับสังกะสี เพิ่มให้เพียงพอตั้งแต่เดือนที่ 5 ของครรภ์ และช่วงให้นมบุตร เพื่อให้ทารกสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เกิดภาวะแคระแกร็น น้ำหนักน้อย กระดูกผิดปกติ ตับม้ามโต โลหิตจาง
RDA ที่กำหนดไว้คือ 25 มก.ในระยะให้นม ตลอดจนการเสริมอาหารแร่ธาตุสังกะสีในเด็ก เพื่อป้องกันและลดโรคข้างต้น
2. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย ช่วยต้านหวัด ไข้หวัดใหญ่ และเชื้อโรคอื่นๆ สังกะสีมีบทบาทมากมายในการร่วมกับ functional food อื่นๆ
- ร่วมกับวิตามินซี สร้างคอลลาเจน สร้างผิวที่สวยงาม
- ร่วมกับน้ำมันปลา กลูต้าไทโอน ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม
- ร่วมกับซีลีเนียม วิตามินซี ต้านมะเร็ง
- ร่วมกับวิตามินอี ฯลฯ เสริมสร้างภูมิต้านทาน
- ร่วมกับแคลเซียม แมกนีเซียม แก้โรคกระดูกพรุน
- ร่วมกับอินซูลิน แก้เบาหวาน
สังกะสีจำเป็นต่อภูมิคุ้มกัน เพราะมีบทบาทพิเศษในทีเซลล์ (T–cell) ระดับธาตุสังกะสีที่ต่ำกว่าปกติ ทำให้ทีเซลล์มีจำนวนลดลงและอ่อนแอ ส่งผลให้ไม่สามารถแยกแยะและต่อสู้กับโรคติดเชื้อบางชนิด
การเพิ่มระดับธาตุสังกะสีในอาหารได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการต่อต้านโรคปอดบวมและท้องเสีย ตลอดจนโรคติดเชื้ออื่นๆ
ข้อมูลล่าสุด จากการศึกษาโดย ศาสตราจารย์นายแพทย์เคนเนท เอช.บราวน์ และศาสตราจารย์นายแพทย์โรเบิร์ท อี.แบล็ค ร่วมกับแพทย์ท่านอื่นๆ อันเป็นผลงานวิจัยที่ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2553 พบว่าการให้ธาตุสังกะสีเสริมในเด็กสามารถช่วยลดความรุนแรงและป้องกันการเสียชีวิตจากโรคท้องร่วงและโรคปอดบวม
รวมทั้งการให้ธาตุสังกะสีเสริมขณะที่มารดาตั้งครรภ์จะทำให้เด็กทารกเกิดโรคอุจจาระร่วงลดลง ธาตุสังกะสียังสามารถลดระยะเวลาและความรุนแรงของไข้หวัด การให้สังกะสีเสริมในมารดาที่ตั้งครรภ์ ช่วยให้เด็กทารกเกิดอุจจาระร่วงลดลง แม้กระทั่งการให้สารนี้เสริมในเด็กขณะมีอาการท้องเดินเฉียบพลัน หรือปอดบวม ก็ช่วยลดความรุนแรงจากการติดเชื้อลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
ครีมที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุสังกะสี นอกจากดีกับสิว หรือบาดแผลเรื้อรังแล้ว ยังใช้กับผื่นผ้าอ้อม อุจจาระกัดก้นได้อีก
ช่วยรักษาแผลในปากและอาการเจ็บคอหายเร็วขึ้น
พบว่าการเพิ่มสังกะสีในอาหารเพียงเล็กน้อย จะช่วยป้องกันโรคท้องร่วง ปอดบวม และมาลาเรียได้ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา สังกะสีจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน จึงช่วยป้องกันโรคท้องร่วงได้ถึง 38% ลดการติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจ ได้ 45% และลดการเป็นโรคมาเลเรียได้ถึง 35%
นอกจากนี้การเสริมธาตุสังกะสีจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและการเยียวยาตัวเองของร่างกาย เพื่อต่อสู้โรคร้าย เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ลูปัส อ่อนเพลียเรื้อรัง รวมถึงโรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม และเอดส์
3. ป้องกันมะเร็ง พบว่าผู้ป่วยมะเร็งหลอดอาหาร หลอดลม ต่อมลูกหมากจะมีปริมาณสังกะสีต่ำกว่าคนปกติ ส่วนผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมีธาตุสังกะสีและซีลีเนียมต่ำกว่าปกติ
4. ป้องกันตาบอดในผู้สูงอายุ พบธาตุสังกะสีอยู่ในปริมาณมากในเรตินา การสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุที่เรียกว่า macular degeneration (AMD) นอกจากขาดโอเมก้า3 แล้ว พบว่าเกิดจากขาดธาตุสังกะสีด้วย นอกจากนี้ ธาตุสังกะสียังอาจจะมีคุณสมบัติในการป้องกันโรคตาบอดกลางคืนและต้อกระจก
5. ป้องกันผมร่วง สังกะสีช่วยป้องกันและรักษาผมร่วงได้กรณีขาดแร่ธาตุนี้ เนื่องจากเป็นแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม โดยเฉพาะมีส่วนสำคัญต่อการแบ่งเซลล์ผมใหม่ ซ่อมแซมผมที่อ่อนแอให้แข็งแรงมากขึ้น ช่วยควบคุมการทำงานของต่อมน้ำมันบนหนังศีรษะ นอกจากนี้ยังมีผลช่วยกระตุ้นการสร้างโปรตีนและคอลลาเจนอันเป็นส่วนประกอบสำคัญของเส้นผม โดยปริมาณที่แนะนำคือ 11 มิลลิกรัมต่อวันเป็นเวลา 3 – 4 สัปดาห์
6. จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการเจริญของระบบสืบพันธุ์ ในเพศชาย ธาตุสังกะสีช่วยปกป้องต่อมลูกหมากจากการติดเชื้อ และจากภาวะต่อมลูกหมากโต ธาตุสังกะสีช่วยรักษาปริมาณและความแข็งแรงของสเปิร์ม และระดับปกติของฮอร์โมนเพศชาย ในเพศหญิง ธาตุสังกะสีช่วยรักษาปัญหาระดูผิดปกติและบรรเทาอาการปวดเกร็งอย่างผิดปกติของมดลูกก่อนมีประจำเดือน
7. สำคัญต่อการรับรู้รส กลิ่นและความรู้สึกอยากอาหาร:ธาตุสังกะสีทำหน้าที่กระตุ้นสมองส่วนที่รับและประมวลผลข้อมูลจากประสาทรับรสและกลิ่น นอกจากนี้ยังใช้ธาตุสังกะสีรักษาโรคประสาทเบื่ออาหาร (anorexia) อีกด้วย
8. กระตุ้นให้ร่างกายรักษาแผลและการระคายเคืองผิวหนัง คนที่เป็นแผลต่างๆ หรือแผลในกระเพาะอาหาร การให้ธาตุสังกะสี จะทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าผู้ที่ไม่ได้รับธาตุสังกะสีนี้ เพราะสังกะสีช่วยกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว มีการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของธาตุสังกะสีกับเด็กทารกเพื่อบรรเทาอาการผื่นผ้าอ้อม และใช้รักษาบาดแผลจากของมีคม
9. เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน การค้นคว้าจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่าโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อาจจะเกิดจากโปรตีนที่ชื่อว่าอะไมลินจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนและไปหยุดเซลล์ที่มีหน้าที่ในการผลิตอินซูลินทำให้อินซูลินไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ส่งผลให้เกิดโรคเบาหวาน ปัจจัยหนึ่งที่สามารถหยุดการโจมตีของอะไมลินต่อเซลล์ผลิตอินซูลิน ก็คือ สังกะสี โดยสังกะสีจะป้องกันการจับตัวเป็นกลุ่มก้อนของอะไมลินในคนปกติ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นักวิจัยยังไม่แน่ใจว่าสังกะสีจะมีผลต่ออะไมลินอย่างไร อีกทั้งในเซลล์ผลิตอินซูลินของผู้ป่วยเบาหวานยังขาดแคลนสังกะสีอีกด้วย หรือกรณีที่ ผู้ป่วยเบาหวานมักเป็นแผลจะติดเชื้อง่าย สังกะสีจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
10. รักษาสิว มีการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า อาการสิวกำเริบอาจบรรเทาเมื่อกินสังกะสี โดยเชื่อว่ามีส่วนบรรเทาอาการอักเสบ และยังเกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลของปริมาณไขมันในผิวหนัง ควบคุมปัญหาการเกิดสิวจากการอุดตันไขมัน
11. ชะลอความเสื่อมของเซลล์และบำรุงสมอง สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งและเป็นที่สนใจโดยเฉพาะผู้ที่รักสวยรักงามก็คือ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ โดยเฉพาะเซลล์ผิวหนัง สังกะสีจะเข้าไปช่วยยืดอายุผิวที่อ่อนเยาว์ไร้ริ้วรอยให้อยู่กับคุณยาวนานขึ้น นอกจากนี้สังกะสียังช่วยในเรื่องของความจำ ระบบประสาทและระบบทางเดินอาหารให้ทำงานเป็นปกติได้อีกด้วย
ปริมาณเท่าไรเหมาะสม
ในคนไทยทั่วไป RDA คือ 10 – 15 มก./วัน การได้รับเกินวันละ 100 มก.ติดต่อกันนานจะทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และลดเอชดีแอลคอเลสเตอรอล (HDL) ซึ่งเป็นไขมันดีลง
ปริมาณที่อาจเป็นพิษ คือ 2 กรัม/วัน ซึ่งอาจเกิดคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียน ปวดท้อง ท้องเสียได้
การกินสังกะสีติดต่อกันเกิน 1 เดือน อาจรบกวนการดูดซึมธาตุทองแดง ดังนั้นในผลิตภัณฑ์ 30 มก. จึงควรมีทองแดง 2 มก.
อาหารที่ให้สังกะสี
สังกะสีมีมากในอาหารโปรตีนสูง เช่นเนื้อวัว เนื้อหมู ตับ สัตว์ปีก (โดยเฉพาะเนื้อสีเข้มเช่นเนื้อเป็ด) และอาหารทะเล (โดยเฉพาะหอยนางรม) เนยแข็ง ถั่ว และถั่วเปลือกแข็ง จมูกข้าวสาลี เมล็ดฟักทอง ไข่และนมสด แต่สังกะสีจากพืชจะดูดซึมได้ยากกว่าสังกะสีในเนื้อสัตว์
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสังกะสีมีหลายรูปแบบ แต่ควรเลือกชนิด ซิงค์พิโคลิเนต (Zinc picolinate) อะซิเตท (acetate) ซิเตรท (citrate) กรดอะมิโนคีเลต (aminoacid chelate) หรือแอสปาร์เทต (aspartate) ซึ่งดูดซึมง่าย ไม่ระคายกระเพาะ