อาการทางตาที่พบบ่อยมากขึ้นในปัจจุบันคือ โรคตาแห้ง (dry eyeหรือxerophthalmia )พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี พบในเพศหญิงมากว่าเพศชาย และพบบ่อยมากในผู้ที่มีการใช้งานหน้าจอนานๆ เป็นประจำ ( visual display terminal) ไม่ว่าจะเป็นจอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ
โรคตาแห้ง คือ ความผิดปกติของผิวลูกตาส่วนหน้า (ocular surface) โดยรวมตั้งแต่ เยื่อบุตา กระจกตา เปลือกตา ต่อมสร้างน้ำตา และท่อระบายน้ำตา ที่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดความผิดปกติ จะส่งผลทำให้เกิดการสูญเสียสมดุลของชั้นฟิล์มน้ำตา (tear film homeostasis) ทำให้เกิดอาการไม่สบายตา แสบตา ระคายเคืองตา และการมองเห็นผิดปกติไป
ความรุนแรงของโรคจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล มีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงระดับสูญเสีญการมองเห็น ยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรคตาแห้งคือ น้ำตาเทียม ซึ่งมีประสิทธิภาพดีและปลอดภัย แต่ในปัจจุบัน โรคตาแห้งมีแนวโน้มที่จะมีอาการเรื้อรังและรุนแรงขึ้น การใช้น้ำตาเทียมอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงปานกลางถึงมาก
ความสำคัญของชั้นฟิล์มน้ำตา ( tear film)
บริเวณผิวดวงตา (ocular surface) ประกอบด้วย
- กระจกตา ( cornea)
- เยื่อบุตา (conjunctiva)
- ฟิล์มน้ำตา (tear film)
ฟิล์มน้ำตามีหน้าที่
- ช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิวดวงตา
- นำสารอาหารและออกซิเจนมาให้กระจกตาและเยื่อบุตา
- ช่วยชะล้างสิ่งแปลกปลอม ป้องกันการติดเชื้อให้ผิวดวงตา
- ช่วยในการมองเห็นภาพอย่างชัดเจนโดยการปรับสภาพผิวกระจกตาให้เรียบ ทำให้มีการโฟกัสภาพได้อย่างสมบูรณ์
องค์ประกอบของชั้นฟิล์มน้ำตา
ฟิล์มน้ำตาเป็นชั้นโปร่งแสง มี 3 ชั้น
1.1 ชั้นไขมัน (oil layer)
เป็นชั้นบางๆหนา 0.1 ไมโครเมตรฉาบอยู่ด้านนอกสุด ทำหน้าที่ป้องกันการระเหยของน้ำตา เป็นชั้นฟิล์มน้ำตาที่ผลิตออกมามาจาก ต่อมมัยโบเมียน ( meibomian gland) ซึ่งเป็นต่อมไขมันที่อยู่ใต้เปลือกตา
1.2 ชั้นน้ำ ( water layer)
เป็นชั้นที่หนาที่สุด คิดเป็นร้อยละ 80-90 ของปริมาณชั้นน้ำตาทั้งหมด เป็นชั้นฟิล์มน้ำตาที่ผลิตมาจากต่อมลาไครมอล ( lacrimal gland) ซึ่งเป็นต่อมน้ำตาที่อยู่บริเวณหางตา ใต้เปลือกตา ประกอบด้วย เกลือแร่ โปรตีน สารภูมิต้านทาน และเอนไซม์ต่างๆ ทำหน้าที่ให้อาหาร ออกซิเจน และความชุ่มชื้นกับดวงตา โดยการปรับระดับเกลือแร่ในน้ำตาให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองดวงตา
1.3 ชั้นเมือก ( mucin layer)
อยู่ชั้นในสุดติดกับกระจกตา เป็นชั้นฟิล์มน้ำตาที่ผลิตมาจากต่อมเมือกในเยื่อบุตา( conjunctival globlet cells) ประกอบด้วยสารไกลโคโปรตีน ทำหน้าที่ช่วยปกป้องกระจกตาจากสิ่งแปลกปลอม ช่วยให้กระจกตาเรียบ หล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นผิวดวงตา
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคตาแห้ง
ปัจจัยในการเกิดโรคตาแห้งมีดังนี้
- อายุ
โรคตาแห้งพบได้ในทุกช่วงอายุ แต่จะพบมากในกลุ่มผู้สูงวัย เพราะว่าเมื่ออายุมากขึ้น ความหนาและความโค้งของกระจกตาจะมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อความเสถียรของฟิล์มน้ำตา และสุขภาพของผิวลูกตาส่วนหน้า นอกจากนี้ยังพบว่าต่อมน้ำตาจะมีการทำงานบกพร่องเมื่ออายุมากขึ้น
- เพศ
โรคตาแห้งพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และพบมากขึ้นในหญิงวัยหมดประจำเดือน
- ฮอร์โมนเพศ
ฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง สามารถกระตุ้นกระบวนการสร้างและหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการระคายเคืองตา และ ตาแห้งได้
- โรคประจำตัว
เช่น ผู้ป่วยโรคภาวะภูมิคุ้มกันผิดปกติโชวเก้น SjÖ§ren ‘s syndrome จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการตาแห้งได้
- ยารักษาโรค
ยาที่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ เช่น ยาแก้แพ้ ยารักษาโรคซึมเศร้า
- อาหาร
อาหารที่มีวิตามินเอสูง มีส่วนช่วยป้องกันอาการตาแห้ง การดื่มน้ำให้มากเพียงพอมีส่วนช่วยป้องกันและลดอาการตาแห้งได้
- กิจกรรม
การใช้งานหน้าจอในวัยเรียนวัยทำงาน การใช้คอนแทคเลนส์ การใช้สายตาเป็นเวลานาน มีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการตาแห้งได้
อาการและสาเหตุของโรคตาแห้ง
ผู้ป่วยโรคตาแห้ง สามารถแสดงอาการได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับตำแหน่งความผิดปกติของชั้นฟิล์มน้ำตา โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะรู้สึกถึงความแห้ง แสบตา ระคายเคืองตา ไม่สบายตาเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา ตาพร่า ตามัว ตาสู้แสงไม่ได้ ตาแดง น้ำตาไหล
การผลิตน้ำตาถูกควบคุมโดยผิวดวงตา ซึ่งคอยรับความรู้สึกและส่งไปยังสมอง เมื่อสมองรับรู้ก็จะสั่งต่อมน้ำตาให้หลั่งน้ำตาออกมา โรคตาแห้งเกิดจากสาเหตุหลัก 3 ประการ
- การผลิตน้ำตาน้อยลง
- การระเหยของน้ำตามากเกินไป
- ความไม่สมดุลของฟิล์มน้ำตา
ส่งผลให้น้ำตามีความเข้มข้นมากขึ้น มีผลให้กระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบขึ้น และหลั่งสารที่ไปทำลายเยื่อบุผิวตา ทำให้เซลล์เยื่อบุผิวตาตายและต่อมเมือกที่เยื่อบุผิวตา ( conjunctival globlet cells) ทำหน้าที่ผลิตฟิล์มน้ำตาไม่ได้ ส่งผลให้ชั้นฟิล์มน้ำตาไม่เสถียร ซึ่งกระบวนการอักเสบที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง จะส่งผลให้ความรุนแรงของอาการตาแห้งมากขึ้นเรื่อยๆ
แนวทางการรักษาโรคตาแห้ง
การรักษาโรคตาแห้งมีทั้งแบบใช้ยา และไม่ใช้ยา เป้าหมายการรักษาโรคตาแห้ง คือ ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับตา ช่วยให้การมองเห็นปกติ โดยการ
- เพิ่มการผลิตน้ำตา
- ลดการระเหยของฟิล์มน้ำตา
- ลดการอักเสบของผิวตา
1 . การรักษาแบบไม่ใช้ยา
ได้แก่ การปรับพฤติกรรม อาหาร และสิ่งแวดล้อม ดังนี้
- ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยลดอาการตาแห้ง คือ น้ำมันปลาโอเมก้า 3 ( omega-3 fatty acid ) เป็นกรดไขมันที่ช่วยยับยั้งกระบวนการอักเสบได้
- การรับประทานอาหารที่มีวิตามิน เอ สูง เช่น ไข่แดง ตับ นม ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีสีส้ม มะละกอ มันเทศ ฟักทอง เป็นต้น
- ลดการใช้งานหน้าจอ และ ควรพักการใช้สายตาเมื่อรู้สึกตามัว ตาล้า
- หลีกเลี่ยงฝุ่นละออง ใส่แว่นกันแดด กันลม
2. การรักษาแบบใช้ยา
เป็นวิธีหลักที่ใช้รักษาโรคตาแห้ง มียาที่ใช้รักษาโรคตาแห้งมี ดังนี้
น้ำตาเทียม (artificial tear)
จัดเป็นยาตัวแรกที่ใช้ในการรักษาโรคตาแห้ง ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด คุณสมบัติของน้ำยาเทียมคือ
- เพิ่มความชุ่มชื้นที่ตา
- ลดการระเหยของน้ำตา
- หล่อลื่นดวงตาโดยทำให้ชั้นไขมันของฟิล์มน้ำตาคงตัว
น้ำตาเทียมแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
- น้ำตาเทียมรูปแบบสารละลาย ( solution)
จะมีทั้งเป็นแบบน้ำใสและน้ำข้น มี 2 ชนิด
- น้ำตาเทียมที่สามารถใช้ได้หลายครั้ง (multiple dose)
เป็นน้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ใช้หยอดวันละ 4-6 ครั้ง เฉพาะเวาลาที่มีอาการ น้ำตาเทียมชนิดนี้มีอายุ 1 เดือนหลังเปิดใช้
- น้ำตาเทียมที่สามารถใช้ได้ครั้งเดียว (unit dose)
เป็นน้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย เหมาะสำหรับผู้ที่อาการตาแห้งรุนแรงปานกลางถึงมาก ต้องใช้น้ำตาเทียมหยอดตาบ่อยๆ ทุกวัน ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียจากการสะสมของสารกันเสียในดวงตา น้ำตาเทียมชนิดนี้จะบรรจุในหลอดพลาสติกเล็กๆ มีอายุการใช้งาน 1 วันหลังเปิดใช้
2. น้ำตาเทียมรูปแบบเจล และขี้ผึ้ง ( gel and ointment )
น้ำตาเทียมรูปแบบนี้จะมีความหนืดมากกว่าแบบสารละลาย ทำให้น้ำตาระเหยช้ากว่าและคงความชุ่มชื้นได้นานกว่า แต่อาจทำให้ตาพร่ามัวเล็กน้อยสักพักหลังใช้ เป็นน้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย
องค์ประกอบหลักของน้ำตาเทียมมี 4 ส่วน
- สารเพิ่มความหนืด ( viscosity agent) : เป็นส่วนประกอบหลักในน้ำตาเทียม ทำหน้าที่ช่วยให้น้ำตาเทียมฉาบอยู่ที่กระจกตาได้นาน เพิ่มความสบายและความชุ่มชื้นให้กระจกตาสารเพิ่มควาหนืดแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติเกาะผิวกระจกตาได้แตกต่างกัน ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ได้แก่ hydroxypropyl methylcellulose (HPMC) , carboxyl methylcellulose (CMC) , carbomer และ hyaluronic acid เป็นสารเพิ่มความหนืดที่มีคุณสมบัติพิเศษคือช่วยกระตุ้นการสมานแผลที่เยื่อบุผิวกระจกตาได้ด้วย
- สารกันเสีย (preservative) : เป็นสารช่วยรักษาคุณสมบัติของน้ำตาเทียมให้ปราศจากเชื้อหลังเปิดใช้ 1 เดือน โดยไม่ต้องเก็บในตู้เย็น ข้อเสียคือ อาจทำให้การรระคายเคืองตาหรือแพ้ได้ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้หยอดตามากว่า 6 ครั้ง ต่อวัน สารกันเสีย แบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
- สารกันเสียทางเคมี ( chemical preservative)
เช่น benzalkonium chloride , sorbate เป็นสารกันเสียที่อาจเป็นพิษต่อเยื่อบุผิวตาและกระจกตาได้ถ้ามีความเข้มข้นสูงๆ การใช้ยาหยอดตาที่มีสารกันเสียประเภทนี้อยู่ จึงควรใช้อย่างระมัดระวัง คืด ใช้ไม่เกิน 4-6 ครั้งต่อวัน และไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
- สารกันเสียแบบชั่วคราว ( transiently preservative)
เช่น purite ,sodium perborate สารเหล่านี้เมื่อสัมผัสกับน้ำและแสง คุณสมบัติเป็นสารกันเสียจะเปลี่ยนแปลงไปหรือสลายตัวไปเป็นสารที่ไม่มีผลเสียต่อดวงตา Purite เมื่อสัมผัสกับแสง UV จะเปลี่ยนเป็นน้ำ และ sodium chloride ( NaCl), Sodium perborate เมื่อสัมผัสน้ำ จะเปลี่ยนเป็น sodium hydroxide (NaOH)
- สารกันเสียออกซิเดชั่น (oxidative preservative)
เช่น polyquad, sodium chloride เป็นสารกันเสียที่อาจเป็นพิษต่อเยื่อบุผิวตาและกระจกตาเช่นกัน แต่น้อยกว่า สารกันเสียทางเคมี
3. สารที่ใช้ควบคุมสมดุลกรด-ด่าง (Buffer) ได้แก่ bicarbonate, phosphate, borate, citrate, และ lactate ทำหน้าที่ป้องกันการระคายเคืองตา และช่วยคงสภาพของชั้นไขมันในฟิล์มน้ำตา
4. ส่วนประกอบอื่นๆ ที่ช่วยปรับให้น้ำตาเทียมมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาธรรมชาติ ได้แก่ glycine, calcium chloride, magnesium chloride, 0.9%NaC
ยากระตุ้นการสร้างน้ำตา ( tear secretagogues)
ได้แก่ diquasol sodium 3% ยามีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างฟิล์มน้ำตาทั้ง 3 ชั้น ตั้งแต่ชั้นไขมัน ชั้นน้ำ และชั้นเมือก ในผู้ป่วยที่มีอาการตาแห้งแบบรุนแรง อาจต้องใช้ยากลุ่มนี้ควบคู่กับน้ำตาเทียม
วิธีใช้ยาคือ หยอดครั้งละ 1 หยด วันละ 6 ครั้ง ต่อเนื่อง 30 วัน จากนั้นค่อยปรับลดยาลงเหลือ วันละ 4 ครั้ง และสามารปรับลดลงได้เรื่อย จนกระทั่งหยุดยาได้ถ้าอาการดีขึ้นแล้ว
ยารักษาภาวะอักเสบบนผิวลูกตา (anti-inflamatory therapy)
ได้แก่ ยาหยอดตา cyclosporin A , ยาหยอดตาสเตียรอยด์, ยาหยอดตา liftgrast, และ ยาหยอดตาฆ่าเชื้อ ยาเหล่านี้ จัดเป็นยาที่ต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของจักษุแพทย์ เท่านั้น ไม่แนะนำให้หาซื้อมาใช้เอง เป็นยาที่ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการตาแห้งแบบรุนแรง ที่ใช้ยาใน 2 ข้อแรกแล้วยังให้ผลการรักษาไม่ดี
สรุป
โรคตาแห้ง เกิดจากร่างกายผลิตน้ำตาในปริมาณไม่เพียงพอหรือเพียงพอแต่น้ำตาที่ผลิตออกมาไม่มีคุณภาพ การดูแลรักษาสามารถทำได้โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสภาวะแวดล้อมที่เป็นสาเหตุร่วมกับการใช้ยารักษา จะเริ่มด้วยน้ำตาเทียมเป็นอันดับแรก หากไม่เพียงพอ อาจใช้ควบคู่กับยากระตุ้นการสร้างน้ำตาได้ และหากมีภาวะอักเสบเข้ามาเกี่ยวข้องควรพบแพทย์เพื่อรับยาหยอดตาลดการอักเสบ ร่วมด้วย
เอกสารอ้างอิง
- ภ.ญ. สิรินุช พละภิญโญ, การดูแลโรคตาแห้ง, ภาควิชาเภสัชกรรมปฏิบัติ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
- ภ.ญ. สิรินุช พละภิญโญ, ภ.ก. วรธัช ฐิติกรพงศ์, ยาที่กระตุ้นการสร้างน้ำตา, คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
- ภ.ญ. ทิพย์วิไล ทวีพันธุรัตน์, แนวทางการรักษาผู้ป่วยโรคตาแห้ง, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
- ภ.ญ. นิตย์ธิดา ภัทรธีรกุล, การดูแลภาวะตาแห้ง, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียว
การบริบาลทางเภสัชกรรม (Pharmaceutical care)
การบริบาลทางเภสัชกรรม หมายถึง ความรับผิดชอบของเภสัชกรโดยตรงที่มีต่อการใช้ยาของผู้ป่วย เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ถูกต้องตามที่ต้องการและเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย ผลการรักษาที่ถูกต้องคือ
โดยเภสัชกรจะปฏิบัติงานร่วมกับบุคคลากรทางการแพทย์ทางสาธาณสุขอื่นๆ เรียกว่า ทีมสหสาขาวิชาชีพและมีหน้าที่หลักในการค้นหา แก้ไข และป้องกันปัญหาที่เกิดจากการใช้ยา ตลอดจนติดตามประเมินผลที่เกิดขึ้นจากการรักษาด้วยยา เพื่อให้เกิดระบบยาที่มีคุณภาพและปลอดภัยสูงสุด
สินค้าแนะนำ
สเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูกเด็กเล็ก
แผนที่ที่ตั้งร้าน
ร้านยาของเรา
วิวร้านกลางวัน
วิวภายในร้าน
วิวภายในร้าน
วิวภายในร้าน
เภสัชกรเหลียน
พนักงานผู้ช่วยนูรีดา
พันธมิตรของเรา
บริษัทยาที่เป็นพันธมิตรสนับสนุนเรา