อาหารไม่ย่อย..ดูแลอย่างไร

โรคอาหารไม่ย่อย

โรคอาหารไม่ย่อย บางครั้งเรียกว่า โรคกระเพาะอาหารแปรปรวน ผู้ป่วยที่มีภาวะการย่อยอาหารผิดปกติ จะมีอาการปวดตรงตำแห่งช่องท้องส่วนบน เหนือสะดือ เช่น บริเวณลิ้นปี่ ยอดอก โดยมีอาการปวดร้าวไปถึงด้านบนขวาหรือด้านบนซ้ายของท้อง ลักษณะของการปวดท้องมีได้หลายรูปแบบ เช่น จุกเสียด รู้สึกท้องแข็งเกร็ง ปวดบีบมวนปั่นป่วนในท้อง แสบร้อนท้อง แน่นท้อง ท้องอืดเฟ้อเหมือนอาหารไม่ย่อย รู้สึกมีลมในท้อง  อิ่มเร็ว เรอ และคลื่นไส้  ในบางรายจะมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง

โรคนี้มีชื่อทางการแพทย์ว่า Dyspepsia หรือ indigestion จัดเป็นโรคเรื้อรังอย่างหนึ่งที่รบกวนการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยพอสมควร  โดยมักจะมีอาการเวลาท้องว่าง รับประทานอาหารผิดเวลา หรือ หลังรับประทานอาหาร ก็ได้

อาหารไม่ย่อย

อาการของโรคอาหารไม่ย่อย

ภาวะของโรคนี้ เป็นความผิดปกติของทางเดินอาหารส่วนต้นบริเณรอยต่อระหว่างกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก 

ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกไม่สุขสบายที่ช่องท้องส่วนบน โดยจะมีอาการเด่นอย่างน้อย 1 อาการใน 4 อาการต่อไปนี้ คือ

1.อาการจุกแน่นหลังมื้ออาหาร

2.อิ่มเร็วกว่าปกติ

3. อาการปวดบริเวณลิ้นปี่ .

4. อาการแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ ( Heartburn )

และอาจมีคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย  ผู้ป่วยมักมีอาการเป็นๆหายๆนานหลายเดือน บางช่วงสบายดี บางช่วงมีอาการมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน

ประเภทของโรคอาหารไม่ยอย

คนไข้โรคกระเพาะอาหารแปรปรวน Dyspepsia แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มตามอาการเด่นๆ

  1. EPS : epigastric pain syndrome

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดหรือแสบร้อนท้องเป็นอาการเด่น

2. PDS : postprandial distress syndrome

อาการเด่นคือ แน่นท้อง ท้องอืด เหมือนอาหารไม่ย่อย รู้สึกมีลมมากทำให้อิ่มเร็ว โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร

3. Overlapping PDS-EPS

ผู้ป่วยจะมีอาการทั้ง 2 แบบร่วมกัน  

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคอาหารไม่ย่อย

ในปัจจุบันตรวจพบความผิดปกติของทางเดินอาหารที่ทำให้มีอาการดังที่กล่าวข้างต้น ดังนี้

  • การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของกระเพาะอาหารและลำไส้
  • การรับรู้สิ่งกระตุ้นไวกว่าปกติ
  • การหลั่งกรดในปริมาณที่มากกว่าปกติ
  • ความผิดปกติของฮอร์โมนในทางเดินอาหาร
  • ปัจจัยทางด้านจิตใจและอารมณ์
  • การอักเสบติดเชื้อทางเดินอาหาร
  • การดำเนินชีวิตที่ไม่สุขลักษณะ เช่น นอนดึก กินดึก ดื่มเหล้าจัด สูบบุหรี่มาก
  • พันธุกรรมจากบรรพบุรุษ

โรคแทรกซ้อนที่เกิดร่วมกับโรคอาหารไม่ย่อ

  1. แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ( Peptic and duodenum ulcer) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพรอไล (Helicobacter pyroli) หรือ ยาแก้ปวดแก้อักเสบประเภท NSAID   โรคนี้หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอาจทำให้เกิด ภาวะกระเพาะอาหารทะลุ เลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารตีบ  ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากมีเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กเป็นเวลานาน
  2. กระเพาะอาหารอักเสบ มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพรอไล (Helicobacter pyroli) หรือ ยาแก้ปวดแก้อักเสบประเภท NSAID แต่จะไม่พบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง  แต่อาจเกิดภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กได้
  3. มะเร็งกระเพาะอาหาร  ควรมีการคัดกรองความเสี่ยงในคนไข้อายุมากกว่า 50 ปี มีประวัติพันธุกรรมของโรคในครอบครัว
  4. โรคกระเพาะอาหารแปรปรวน (functional dyspepsia)
  5. โรคนิ่วในถุงน้ำดี มักพบในผู้หญิงวัยกลางคน  ที่มีภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน
  6. มะเร็งตับ  มักพบในผู้ป่วยติดแอลกออล์  คนไข้มักมีอาการเรอเปรี้ยว แสบร้อนบริเวณอก
แผลในกระเพาะอาหาร

สัญญานอันตรายของโรคอาหารไม่ย่อยที่ควรไปพบแพทย์

  • น้ำหนักลดลงมากอย่างรวดเร็ว
  • คลื่นไส้ อาเจียนบ่อย
  • กลืนอาหารติด กลืนอาหารลำบาก กลืนแล้วเจ็บ
  • อาเจียนและ/หรือถ่ายเป็นเลือด
  • มีอาการซีดหรือโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
  • อาการไม่ดีขึ้นหลังรักษามาแล้ว 4 สัปดาห์
สัญญานอันตรายของอาหารไม่ย่อย

การรักษาโรคอาหารไม่ย่อยโดยการปรับเปลี่ยนอาหารและพฤติกรรม

โรคอาหารไม่ย่อยเป็นภาวะเรื้อรัง ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อควบคุมอาการ เช่น

  • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา
  • รับประทานอาหารพอประมาณ ไม่มากเกินไป 
  • ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน น้ำอัดลม เนื้อแดง กาแฟ อาหารรสจัด ของหมักดอง
  • เคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียด ไม่เร่งรีบรับประทานอาหาร
  • งดแอลกอฮอล์ และ การสูบบุหรี่
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงความเครียด
  • หลังรับประทานอาหารเสร็จควรเดินสักพักเพื่อช่วยให้กระเพาะอาหารเคลื่อนไหวดีขึ้น และ ไม่ควรเอนตัวลงนอนภายใน 3 ชั่วโมง หลังรับประทานอาหาร
  • ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม เพราะความอ้วนส่งผลให้อาการรุนแรงมากขึ้น
  • นอนยกหัวสูงเล็กน้อย
อาหารที่ย่อยยาก

ยารักษาโรคอาหารไม่ย่อย

ยาที่เป็นทางเลือกในการรักษาแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้

1. ยาลดกรด ยาลดกรดไหลย้อน ยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร ( antacid, antireflux agents, antiulcerants)

เป็นยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยกลุ่มอาการปวดแสบท้องเป็นอาการเด่น (EPS) ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์รักษาโดยลดการหลั่งกรดและลดการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร สร้างเยื่อเมือกป้องกันผนังกระเพาะอาหาร  ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ ยาน้ำลดกรด ยาในกลุ่ม H2-blocker, Proton pump inhibitors, Potassium-competitive acid inhibitors

2. ยาปรับการทำงานของทางเดินอาหาร  ยาแก้ท้องอืด และ ยาต้านการหดเกร็ง ( GIT regulator, antiflatulents, antispasmodics)

เป็นยามีใช้รักษาผู้ป่วยกลุ่มอาการแน่นท้อง ท้องอืด เหมือนอาหารไม่ย่อย รู้สึกมีลมมาก อิ่มเร็ว (PDS)  ยาในกลุ่มนี้จะออกฤทธิ์รักษาโดยช่วยเร่งการบีบตัวของลำไส้ ขับแก๊ซในกระเพาะอาหาร   ต้านการหดเกร็งของกระเพาะอาหาร ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ domperidone, itopride, mosapride เป็นต้น

3. ยาช่วยย่อย ( Digestives)

ยาในกลุ่มนี้ใช้รักษาผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่ม เป็นยาที่ใช้ช่วยย่อยอาหารโมเลกุลใหญ่ เป็นเอ็มไซม์ เช่น amylase, diastase, biodeatase, cellulase และ lipase

สมุนไพรลดกรด

4. สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร  ( Herbal &supplement)

ขิง ลูกยอ และ ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรไทย ที่มีงานวิจัยยืนยัน ว่าช่วยลดกรด กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารได้

โพรไบโอติก เช่น lactobacillus acidophilus, lactobacillus casei, Bifidobacterium bifidum, Bifidobacterium longum. 

จุลลินทรีย์เหล่านี้ออกฤทธิ์ ช่วยผลิตเอนไซม์ย่อยอาหาร ส่งเสริมการเคลื่อนไหวตัวของทางเดินอาหาร ช่วยกระตุ้นการหลั่งเยื่อเมือกมาปกป้องผนังกระเพาะและลำไส้

สรุป

โรคอาหารไม่ย่อย เป็นโรคที่มีหลากหลายอาการ  เป็นภาวะเรื้อรัง ความทำความเข้าใจต่อโรคเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้ผู้ป่วยสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เพื่อควบคุมอาการของโรค  การใช้ยารักษาร่วมด้วยกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะช่วยให้ได้ผลการรักษาที่ดีขึ้น

เอกสารอ้างอิง

  1. พญ. มณฑิรา มณีรัตนะพร, Dyspepsia and Functional Dyspepsia, คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพญาบาล
  2. นพ.สุริยา กีรติชนานนท์, โรคกระเพาะอาหารแปรปรวน , ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลกรุงเทพ
  3. แนวทางเวชปฏิบัติในการดูแลรักษาผู้ป่วย Dyspepsia ในประเทศไทย ปี พ.ส. 2561 หน้า 1-3

การบริบาลทางเภสัชกรรม (Pharmaceutical care)

การบริบาลทางเภสัชกรรม หมายถึง ความรับผิดชอบของเภสัชกรโดยตรงที่มีต่อการใช้ยาของผู้ป่วย เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ถูกต้องตามที่ต้องการและเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย ผลการรักษาที่ถูกต้องคือ

  • หายจากโรค
  • บำบัดหรือบรรเทาอาการโรค 
  • ชะลอหรือยับยั้งการดำเนินของโรค
  • ป้องกันโรค

โดยเภสัชกรจะปฏิบัติงานร่วมกับบุคคลากรทางการแพทย์ทางสาธาณสุขอื่นๆ เรียกว่า ทีมสหสาขาวิชาชีพและมีหน้าที่หลักในการค้นหา แก้ไข และป้องกันปัญหาที่เกิดจากการใช้ยา ตลอดจนติดตามประเมินผลที่เกิดขึ้นจากการรักษาด้วยยา เพื่อให้เกิดระบบยาที่มีคุณภาพและปลอดภัยสูงสุด

สินค้าแนะนำ

แผนที่ที่ตั้งร้าน

ที่ตั้งร้านยา

ร้านยาของเรา

พันธมิตรของเรา

บริษัทยาที่เป็นพันธมิตรสนับสนุนเรา

DKSH
ZPL
BIOPHARM
สยามฟาร์มา
ยูเนี่ยน
อ้วยอัน
วิทยาศรม
ทรูไลน์เมด
บริษัทชุมชน
สมุนไพรไทย
tnp