ความเครียด (Stress)
คือภาวะของอารมณ์ ความรู้สึก ที่ถูกบีบคั้น หรือกดดัน ซึ่งแต่ละบุคคลจะมีวิธีการปรับตัวให้ผ่านพ้นไปได้
ความเครียดที่หาทางระบายออกไม่ได้ จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาจเปลี่ยนเป็นโรคซึมเศร้า (Depressive disorder) หรือโรควิตกกังวล (Anxiety disorders)
คนที่ไม่สามารถจัดการกับความเครียดได้ จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งของตนเองและผู้อื่น ควรพบจิตแพทย์เพื่อรับการปรึกษาและรักษาอย่างถูกวิธี
ความเครียดนั้น มีสาเหตุทั้งจากความคิดของตนเอง และจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง โดยสามารถ แบ่งได้เป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
1. ความกดดันจากสิ่งแวดล้อมทั่วไป เช่น มลภาวะ เสียงดังเกินไป อากาศที่ร้อนจัด สถานที่ที่วุ่นวายสับสน อยู่ท่ามกลางความรุนแรงหรือสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย
2. ความขาดจากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่น่าพอใจ เช่น รายได้น้อยกว่ารายจ่าย กดดันหรือเครียดเรื่องเงิน ที่จำเป็นต้องใช้ด่วน ทำให้รู้สึกไม่มั่นคง
3. ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆที่ไม่ราบรื่น ขัดแย้ง ทะเลาะเบาะแว้ง หรือถูกเอาเปรียบ
4. ความรู้สึกตนเองต่ำต้อย มองโลกอย่างเปรียบเทียบ ต้องพยายามพิสูจน์คุณค่า
5. ไม่มีทางเลือกที่ลงตัวในชีวิต เช่น ต้องรับผิดชอบเรื่องที่ไม่ได้อยากทำ ทำไปก็ไม่มีความสุข ไม่ทำก็ผิด
6. มีปัญหาสุขภาพรุมเร้า มีโรคเรื้อรัง สร้างความทรมานและจำกัดการใช้ชีวิต
- ปวดหัว ปวดเมื่อย ปวดท้อง
- ท้องผูก
- สมรรถภาพทางเพศลดลง
- วิตกกังวล
- นอนไม่หลับหรือนอนหลับยาก
- กระสับกระส่าย กังวล และเหมือนจะประสาทเสีย
- รู้สึกไม่มีแรง หมดแรง
- รู้สึกว่าปัญหาที่เข้ามาในชีวิตยุ่งยากมากเกินจนรับได้
- มีปัญหาเรื่องสมาธิและความจำสั้น
- รับประทานอาหารมากขึ้นหรือน้อยลงกว่าปกติ
- มักโกรธและอาละวาดได้ง่าย
- สูบบุหรี่ หรือใช้สารเสพติดอื่น ๆ
- ไม่เข้าสังคม ไม่พบปะผู้คน รวมทั้งไม่สนใจสิ่งรอบตัว
- ทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือออกกำลังกายเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง
การดูแลตนเองเมื่อรู้สึกเครียด
- พยายามวิเคราะห์หาสาเหตุที่ทำให้เราเครียด และแก้ปัญหาที่ต้นเหตุนั้น
- ออกกำลังกายครั้งละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 วัน
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มกระตุ้นประสาท
- พบปะเพื่อนฝูง เพื่อพูดคุยในเรื่องที่สร้างเสียงหัวเราะ และระบายปัญหาต่างๆ (หากเพื่อนรับฟัง)
- จัดการสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ เช่น จัดบ้าน หรือโต๊ะทำงานให้ผ่อนคลาย ปลูกต้นไม้เล็กๆ หรือแจกันดอกไม้สร้างความสดชื่น
- ดูภาพยนตร์และอ่านหนังสือตลกหรือสนุกสนาน
การรักษาอาการเครียด - ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นและสังคม เช่น กิจกรรมจิตอาสา หรือลงเรียนสิ่งใหม่ ๆ ต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มความรู้สึกมีคุณค่า
หากความเครียดรบกวนการใช้ช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงกระทบต่อการทำงาน หรือมีผลต่อผู้อื่น การพบจิตแพทย์เพื่อปรึกษาและรักษาอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง โดยจิตแพทย์จะทำการรักษาโดย
1. การรักษาด้วยยา : วัตถุประสงค์หลัก คือ เพื่อช่วยบรรเทาอาการทางกายให้ดีขึ้น เช่น
- ใช้ยาลดกรดในกระเพาะ เพื่อรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร
- ยาลดความดันโลหิต เพื่อลดระดับความดันโลหิต
- ใช้ยาแก้ปวด และยาคลายกล้ามเนื้อ เพื่อลดอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อตามจุดต่างๆ
- ให้ยากลุ่มคลายเครียด เพื่อช่วยให้นอนหลับพักผ่อนได้ง่ายขึ้น หรือมีอาการเครียดน้อยลง
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ แต่ก็มีความจำเป็นเพราะจะช่วยลดอาการต่างๆ ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวมากขึ้น และทำให้ง่ายต่อการจัดการกับปัญหา หรือความเครียดที่เป็นต้นเหตุต่อไป ไม่เช่นนั้นอาการทางกายอาจจะทำให้ผู้ป่วยมีความเครียดมากขึ้นได้
2. การรักษาด้วยการทำจิตบำบัด : เป็นการรักษาด้วยเพื่อให้ผู้ป่วยได้ปรับสภาพจิตใจ และสามารถจัดการกับความเครียดข้างในความคิดได้ เช่น
- เทคนิคการผ่อนคลายความเครียดด้วยตัวเอง เช่น ฝึกสมาธิ ออกกำลังกาย
- การเสริมทักษะในการปรับตัว และการจัดการปัญหา
- การเข้าร่วมกลุ่มทางสังคม
- การทำจิตบำบัดแบบกลุ่ม และการทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่ม
- การปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม