การติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ ( cystitis) จัดเป็นการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง ( lower urinary tract infection ) ผู้ป่วยจะมีอาการ ปัสสาวะไม่ออก ( dysuria) ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะไม่สุด (urgency) ปวดหน่วงๆบริเวณหัวหน่าว (suprapubic pain ) และอาจมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะได้ ( gross hematuria) ปัสสาวะขุ่น และอาจมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้
โดยทั่วไปการติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายโดยเฉพาะในช่วงวัย 18-40 ปี แต่ในช่วงวัยทารก 2-3 เดือนจะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง แต่เมื่ออายุมากกว่า 40-50 ปี จะพบว่าเพศชายมีการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะได้มากขึ้น เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับต่อมลูกหมากโตและนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
ประเภทของ ปัสสาวะไม่ออก กระเพาะปัสสาวะอักเสบติดเชื้อ
ระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างประกอบด้วย 2 ส่วน คือ กระเพาะปัสสาวะ และ ท่อปัสสาวะ เชื้อโรคจะผ่านท่อปัสสาวะมายังกระเพาะปัสสาวะ การติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะ มี 2 ประเภท ดังนี้
1.การติดเชื้อแบบไม่ซับซ้อน ( uncomplicated cystitis )
จะเป็นการติดเชื้อในผู้ป่วยที่มีโครงสร้างระบบทางเดินปัสสาวะปกติ ไม่มีภาวะโรคที่มีผลต่อการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ต่อมลูกหมากโต และ เชื้อก่อโรคเป็นเชื้อประจำถิ่น ( community acquired infection) เช่น Escherichia coli , Klebsiella pneumoniae
2.การติดเชื้อแบบซับซ้อน ( complicated cystitis )
จะเป็นการติดเชื้อในผู้ป่วยที่มีโครงสร้างระบบทางเดินปัสสาวะผิดปกติ ทำให้มีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ เช่น ต่อมลูกหมากโต นิ่วในท่อปัสสาวะ หรือการใส่สายสวนปัสสาวะ รวมถึง ผู้ป่วยที่โรคประจำตัว ที่มีผลต่อการการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ เช่น เบาหวาน โรคไต โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องตลอดจนรวมถึงการตั้งครรภ์ด้วย และ เป็นการติดเชื้อที่มาจากโรงพยาบาล เช่น Pseudomonas auruginosa, Acinetobacter baumannii ,Candida spp. เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิด ปัสสาวะไม่ออก กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- การกลั้นปัสสาวะ จะทำให้มีปัสสาวะเหลือค้างในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งจะทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียและนำไปสู่การติดเชื้อ
- การดูแลสุขอนามัยบริวณอวัยวะเพศไม่ถูกต้อง ในผู้หญิงช่องคลอดและรูทวารหนัก จะอยู่ใกล้เคียงรูเปิดท่อปัสสาวะ ดังนั้นการทำความสะอาดควรทำจากหน้าไปหลัง เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียจากอุจจาระปนเปื้อนเข้ามาทางรูเปิดท่อปัสสาวะซึ่งอยู่ด้านหน้า เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะได้
- ผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวาน ผู้ป่วยที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน จะมีโอกาสติดเชื้อง่ายกว่าคนปกติทั่วไป ดังนั้นจึงควรควบคุมโรคประจำตัวให้ดี ทานยาสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- การตั้งครรภ์ ในช่วงระหว่างนี้จะทำให้มารดามีภาวะภูมิคุ้มกันที่ต่ำ ประกอบการเปลี่ยนแปลงของสรีระในระบบสืบพันธุ์ ที่มีผลต่อการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะ มีโอกาสติดเชื้อง่าย ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์จึงต้องได้รับการตรวจปัสสาวะเป็นระยะ ถ้าพบว่ามีแบคทีเรียปนเปื้อนในน้ำปัสสาวะ จะต้องได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องปันภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อเข้าไปในกระแสเลือดได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อมารดาและทารกในครรภ์
- ผู้สูงอายุ มักจะดื่มน้ำน้อย ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย ปัสสาวะจะแช่ค้างอยู่นาน ทำให้มีการสะสมและเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ โอกาสที่จะเป็นกระเพาะปัสสวะอักเสบได้ง่าย
- การสวนล้างช่องคลอดด้วยน้ำยาทำความสะอาด จะทำให้เสียสมดุลของเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีในช่องคลอด ส่งผลให้อาจมีเชื้อก่อโรคหรือแบคทีเรียที่ไม่ดีในช่องคลอดปนเปื้อนเข้าไปในรูเปิดปัสสาวะ เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้
- การมีเพศสัมพันธ์ ทำให้มีโอกาสติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เพราะอาจมีบาดแผลที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อที่ปนเปื้อนเข้าไปในรูเปิดปัสสาวะได้ ดังนั้นภายหลังมีเพศสัมพันธ์ควรปัสสาวะ และ ดื่มน้ำ 1 แก้วจะช่วยป้องกันการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะได้
- การใช้สายสวนปัสสาวะในผู้ป่วยติดเตียง โดยการคาสายสวนปัสสาวะเป็นระยะเวลานาน
ภาวะแทรกซ้อนของ ปัสสาวะไม่ออก กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
หากมีการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะแบบชนิดซับซ้อน อาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจากการที่เชื้อโรคลุกลามเข้าไปในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบนได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว เช่น
- กรวยไตอักเสบ (pyelonephritis) ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดเอว ปวดแสบปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย
- ท่อปัสสาวะอักเสบ ( urethritis) อาการจะคล้ายๆกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- การติดเชื้อแบบเป็นๆหายๆเรื้อรัง ( recurrent infection ) หมายถึง การเกิดอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบมากกว่า 3 ครั้งต่อปี มักพบในเพศชายที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมากโตร่วมด้วย หรือ การที่เชื้อก่อโรคดื้อยา
- การติดเชื้อในกระแสเลือด ในกรณีที่เชื้อในกระเพาะปัสสาวะลุกลามเข้าไปในทางเดินปัสสาวะส่วนบน อาจทำให้เชื้อโรคหลุดเข้าไปในกระแสเลือดได้ ซึ่งจะเป็นอันตรายมาก
- ต่อมลูกหมากอักเสบและฝีที่ต่อมลูกหมาก พบในเพศชายที่เชื้อจากกระเพาะปัสสาวะ ย้อนกลับขึ้นไปที่ท่อปัสสาวะ และ เข้าสู่ต่อมลูกหมากได้
- ฝีที่ไตหรือฝีรอบไต เกิดจากการที่เชื้อก่อโรค ลุกลามจากกระเพาะปัสสาวะ ย้อนขึ้นไปที่ไต
ข้อควรระวัง
เนื่องจากมีบางโรคที่มีอาการคล้ายกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แต่มีอันตรายต่อร่างกายมากกว่า ดังนั้นผู้ป่วยจึงพึงสังเกตและเฝ้าระวัง ยกตัวอย่างเช่น
- อาการปัสสาวะแสบขัด ปวดหน่วงบริเวณหัวหน่าว ร่วมกับตกขาวเป็นมูกปนหนอง อาจต้องคิดถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น หนองในแท้หรือหนองในเทียม
- อาการปัสสาวะไม่ออกหรือออกกระปริดกะปรอย ปัสสาวะไหล ๆ หยุด ๆ มีเม็ดคล้ายกรวดทรายปนออกมากับปัสสาวะ อาจเป็นอาการของโรคนิ่วได้
การป้องกันภาวะ ปัสสาวะไม่ออก กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ไม่ควรกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น เพราะการกลั้นปัสสาวะจะทำให้เชื้อโรคอยู่ในกระเพาะปัสสาวะได้นานจนสามารถแบ่งตัวเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้นมาก ประกอบกับนภาวะที่กระเพาะปัสสาวะยืดตัว ความสามารถในการกำจัดเชื้อโรคของเยื่อบุผิวกระเพาะปัสสาวะจะลดลง
- ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนักทุกวันด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH ระหว่าง 3.5-4.5
- การดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ใช้เจลหล่อลื่นช่องคลอดในการมีเพศสัมพันธ์ ปัสสาวะหลังการมีเพศสัมพันธ์ จะเป็นการช่วยป้องกันอาการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะหลังการมีเพศสัมพันธได้
- ในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้สายสวนปัสสาวะ ควรใช้แบบ simple closed catheter drainagesystem (สายสวนปัสสาวะระบบปิด) และ ไม่ควรคาสายสวนปัสสาวะเป็นเวลานานเกินความจำเป็น ควรเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะทุก 2 สัปดาห์
ยารักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
เป้าหมายสำคัญของการรักษาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนล่างคือ
- กำจัดเชื้อที่เป็นสาเหตุ
- ป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือด
- ป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
การรักษาทำโดยให้ทานยาต้านจุลชีพที่เหมาะสม เช่น ยากลุ่ม fluoroquinolones และ ยากลุ่ม Beta lactam เป็นเวลา 7 วัน เนื่องจากในปัจจุบันสถานการณ์การดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียที่ก่อโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น โดยสามารถให้ผู้ป่วยทานยาต้านจุลชีพหรือยาปฏิชีวนะได้เลย ไม่จำเป็นต้องรอผลเพาะเชื้อในห้องแลบหรือห้องปฏิบัติการ
- ยากลุ่ม fluoroquinolones ได้แก่ ciprofloxacin,levofloxacin
- ยากลุ่ม beta lactam ได้แก่ Amoxicillin/clavulanate, cefdinir, cefixime
สรุป
ปัสสาวะไม่ออก หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นโรคติดเชื้อที่พบบ่อย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงและสามารถรักษาให้หายได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ในบางรายอาจจะมีอาการรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและมีภาวะการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ในผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงบางอย่างเช่น สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ ผู้ป่วยที่มีนิ่วในไตหรือท่อไต ซึ่งพบบ่อยในประเทศไทย อาจจะมีอาการซับซ้อนและมีอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้น
เอกสารอ้างอิง
- ภก. พีระพงศ์ เหลืองอิงคะสุต, การบริบาลเภสักรรมสำหรับการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะในร้านยา, คู่มือเภสัชกรชุมชนในการดูแลอาการเจ็บป่วยเล้กน้อยในร้านยา. หน้า 101-123
- ภญ. ศุภานันท์ ปึงเจริญกิจกุล, ภก. วิชัย สันติมาลีวรกุล, การใช้ยาต้านจุลชีพสำหรับการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ , ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องเภสัชกร
- แนวทางเวชปฏิบัติการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ พ.ศ. 2568, สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย.
- ผศ. นพ. สุรศักดิ์ กันตเวสศิริ, ผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ,คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
- รศ. นท. ดร. สมพล เพิ่มพงศ์โกศล, การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ, คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
การบริบาลทางเภสัชกรรม (Pharmaceutical care)
การบริบาลทางเภสัชกรรม หมายถึง ความรับผิดชอบของเภสัชกรโดยตรงที่มีต่อการใช้ยาของผู้ป่วย เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ถูกต้องตามที่ต้องการและเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย ผลการรักษาที่ถูกต้องคือ
โดยเภสัชกรจะปฏิบัติงานร่วมกับบุคคลากรทางการแพทย์ทางสาธาณสุขอื่นๆ เรียกว่า ทีมสหสาขาวิชาชีพและมีหน้าที่หลักในการค้นหา แก้ไข และป้องกันปัญหาที่เกิดจากการใช้ยา ตลอดจนติดตามประเมินผลที่เกิดขึ้นจากการรักษาด้วยยา เพื่อให้เกิดระบบยาที่มีคุณภาพและปลอดภัยสูงสุด
สินค้าแนะนำ
สเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูกเด็กเล็ก
แผนที่ที่ตั้งร้าน
ร้านยาของเรา
วิวร้านกลางวัน
วิวภายในร้าน
วิวภายในร้าน
วิวภายในร้าน
เภสัชกรเหลียน
พนักงานผู้ช่วยนูรีดา
พันธมิตรของเรา
บริษัทยาที่เป็นพันธมิตรสนับสนุนเรา