เรื่องควรรู้เกี่ยวกับการใช้ฮอร์โมนในคนข้ามเพศวัยผู้ใหญ่: ปลอดภัย เข้าใจง่าย ดูแลตัวเองได้

คนข้ามเพศ

ความหมายของ คนข้ามเพศ คือ บุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศหรือมีการรับรู้ทางเพศจากภายในที่ต่างจากเพศกำเนิด

ข้อมูลจาก Asia Pacific Transgender Health Blueprint โดยมูลนิธิเอเชียแปซิฟิค ทรานส์เจนเดอร์ เนตเวิร์ค ( Asia Pacific Transgender Network, APTN) ได้คาดประมาณการณ์ว่ามีบุคคลข้ามเพศอยู่จำนวน 9-9.5 ล้านคน ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเผยตัวเลขว่ามีจำนวนหญิงข้ามเพศในประเทศไทยทั้งหมดอยู่ประมาณ 313,747 คน แต่สำหรับจำนวนชายข้ามเพศในประเทศไทย ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด

ฮอร์โมนคนข้ามเพศ

ความหมายของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ  LGBTQ+

องค์การอนามัยโลกได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า การมีเพศสภาพไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิดไม่ถือว่าเป็นอาการป่วยทางจิต  

สำหรับประเทศไทย ในปี 2523 ได้มีการประมาณการณ์ว่ามีจำนวนกลุ่ม LGBTQ+ อยู่ประมาณ 9 % ของประชากรไทยทั้งหมด

LGBTQ+ คือ กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศหรือเพศทางเลือก  ย่อมาจาก

  • L – Lesbian  กลุ่มผู้หญิงรักผู้หญิง
  • G – Gay กลุ่มผู้ชายรักผู้ชาย
  • B – Bisexual  กลุ่มที่รักได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
  • T – Transgender กลุ่มคนข้ามเพศ จากเพศชายเป็นเพศหญิง หรือเพศหญิงเป็นเพศชาย
  • Q – Queer กลุ่มคนที่พึงพอใจต่อเพศใดเพศหนึ่ง โดยไม่จำกัดในเรื่องเพศและความรัก

การอธิบายความหมายของ LGBTQ+ ในแง่ของเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศ ได้ดังนี้

  1. เพศวิถี (Sexual Orientation ) คือ ความรู้สึก รสนิยมทางเพศ รวมถึงความพึงพอใจทางเพศที่มีต่อบุคคลอื่น แบ่งเป็น 4 ลักษณะดังนี้
  • รักต่างเพศ คือ ผู้ที่มีรสนิยมชื่นชอบเพศตรงข้ามหรือบุคคลต่างเพศ เช่น ผู้ชายที่ชอบผู้หญิง หรือผู้หญิงที่ชอบผู้ชาย
  • รักเพศเดียวกัน คือ ผู้ที่มีรสนิยมชื่นชอบเพศเดียวกัน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหักๆ ได้แก่
  1. เลสเบี้ยน (Lesbian)
  2. เกย์ ( Gay)
คนข้ามเพศ เลสบี้ยน
  • ไบเซ็กชวล (Bisexual)  คือ ผู้ที่มีรสนิยมชื่นชอบทั้งเพศชายและเพศหญิง  โดยจะมีอารมณ์เสน่หากับเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกันก็ได้
  • ไม่ฝักใฝ่ทางเพศ คือ ผู้ที่ไม่สนใจเรื่องเพศสัมพันธ์ แต่เพียงรู้สึกสนิทสนมผูกพันกับบุคคลอื่น

2. อัตลักษณ์ทางเพศหรือเพศสภาพ (Gender identity) คือการรับรู้ว่าตนเองว่าต้องการเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ซึ่งบางคนอาจมีอัตลักษณ์ทางเพศตรงกับอวัยวะเพศและโครงสร้างทางร่างกาย แต่บางคนอาจมีอัตลักษณ์ทางเพศแตกต่างจากโครงสร้างทางร่างกาย ซึ่งเรียกว่าคนข้ามเพศ โดยรวมถึงคนที่ไม่สามารถกำหนดให้ตนเองเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเพียงเพศใดเพศหนึ่งได้ด้วย

คนข้ามเพศ เกย์

หลักการใช้ฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศในวัยผู้ใหญ่

คนข้ามเพศ (Trangender) ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพให้แสดงออกตามเพศที่ประสงค์ ต้องได้รับการวินิจฉัยจากจิตแพทย์เท่านั้นว่ามีภาวะ GENDER DYSPHORIA อย่างต่อเนื่อง

Gender dysphoria คือ ภาวะที่มีความไม่สอดคล้องอย่างมากและต่อเนื่อง ระหว่างอัตลักษณ์ทางเพศหรือเพศสภาพที่ตนรับรู้กับเพศที่ถูกกำหนดมาแต่กำเนิด

การใช้ฮอร์โมนหรือการเทคฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศในกลุ่ม LGBTQ+ เป็นสิ่งจำเป็นต่อกลุ่มคนข้ามเพศที่ตัดสินใจแล้วว่าต้องการเปลี่ยนตนเอง ซึ่งจะช่วยกดฮอร์โมนเพศเดิมให้ลดลงและเสริมฮอร์โมนเพศใหม่ที่ต้องการ  คือ จากชายกลายเป็นหญิงหรือจากหญิงกลายเป็นชายอย่างสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ

การใช้ฮอร์โมนควรใช้ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน  การใช้ยาในแต่ละคนจึงมีขนาดการใช้ที่ต่างกัน การใช้โดยไม่มีการปรึกษาและติดตามโดยแพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญมักทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา

ก่อนการใช้ฮอร์โมนต้องตรวจสุขภาพและผ่านเกณฑ์ดังต่อไปนี้

  1. ต้องมีอายุอย่างน้อย 20 ปีขึ้นไป  
  2. ต้องมีความสามารถในการตัดสินใจและให้ความยินยอมในการรักษาได้
  3. ผู้ที่มีอายุ 16-20 ปี การใช้ฮอร์โมนต้องอยู่ภายใต้ความรับรู้และยินยอมจากผู้ปกครองเ)ลายลักษณ์อักษรด้วย
  4. ต้องผ่านการพบจิตแพทย์ 2 ท่าน เพื่อประเมินสภาพจิตใจว่าผู้รับบริการต้องการจะเป็นคนข้ามเพศแน่ๆ หรือได้รับการยืนยันว่ามีภาวะ Gender dysphoria
  5. ต้องผ่านการตรวจสุขภาพ ตรวจวัดระดับฮอร์โมนและความพร้อมของร่างกายก่อน เช่น เจตรวจคัดกรองระดับไขมันและน้ำตาลในเลือด  ตรวจดูการทำงานของตับและไตว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ พร้อมซักประวัติภาวะเสี่ยงของการเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน รวมถึงประวัติการใช้ยาประจำตัว  คัดกรองประวัติการเป็นมะเร็งในครอบครัวสายตรง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก คัดกรองภาวะกระดูกพรุน  คัดกรองภาวการณ์ตั้งครรภ์

ประเภทของการรักษาเพื่อยืนยันเพศสภาพในกลุ่ม คนข้ามเพศ อายุน้อยกว่า 16 ปี

ช่วงอายุของผู้ที่มารับบริการฮอร์โมนเพื่อยืนยันเพศสภาพ มีความสำคัญต่อการเลือกประเภทกลุ่มยาและช่วงเวลาที่จะเริ่มให้ยา

การให้บริการทางการแพทย์แก่บุคคลข้ามเพศ จะมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุดังนี้

1. กรณีเด็กข้ามเพศ ( trangender children)

คือช่วงวัยอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 11 ปี  จะไม่มีการใช้ยาหรือฮอร์โมน แต่จะได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จิตแพทย์และกุมารแพทย์  โดยต้องมีการตัดสินใจร่วมกันระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ร่วมกับผู้ปกครองและโรงเรียน

2. กรณีวัยรุ่นข้ามเพศ ( trangender adolescent)

คือช่วงวัยอายุ 12-16 ปี การให้บริการรักษาและการให้ยาหรือฮอร์โมนจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น  เพราะว่าในวัยเด็กและวัยรุ่น พบว่ามีการเปลี่ยนกลับความคิดจากการเป็นบุคคลข้ามเพศกลับมาเป็นเพศสภาพตรงกับเพศกำเนิด ซึ่งพบได้บ่อยในบุคคลข้ามเพศที่อายุน้อยมากๆ

หลักการให้บริการคือ ยับยั้งการพัฒนาเข้าสู่วัยหนุ่มสาวไว้ชั่วคราวจนกระทั่งถึงอายุที่เหมาะสมที่จะสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองอย่างมั่นใจว่าต้องการข้ามเพศจริงแน่นอนแล้ว โดยใช้ฮอร์โมนกลุ่ม GnRH analogues (Gonadotropin Releasing Hormone analogues ) ตัวอย่างยากลุ่มนี้เป็นรูปแบบยาฉีด เช่น Goserelin,Leuprorelin,Triptorelin

การให้บริการฮอร์โมนแก่ คนข้ามเพศ วัยผู้ใหญ่ ( Gender affirming hormonal treatment )

จะแบ่งเป็น 2 กรณีคือ

  1. ชายข้ามเพศ / ผู้ชายข้ามเพศ ( transgender male,female-to-male) คือ บุคคลที่มีเพศกำเนิดเป็นหญิงแต่มีอัตลักษณ์ทางเพศหรือมีการรับรู้ทางเพศจากภายในเป็นชาย
  2. หญิงข้ามเพศ / ผู้หญิงข้ามเพศ ( transgender female,male-to-female ) คือ บุคคลที่มีเพศกำเนิดเป็นชายแต่มีอัตลักษณ์ทางพศหรือมีการรับรู้ทางเพศจากภายในเป็นหญิง

การให้ฮอร์โมนสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสุขภาพร่างกายแต่ละบุคคล ได้แก่

  • รูปแบบยาเม็ดรับประทาน
  • รูปแบบยาฉีด มีข้อดีในเรื่องการออกฤทธิ์ได้นาน ทำให้ระดับยาในเลือดสม่ำเสมอ
  • รูปแบบยาทาทางผิวหนัง
ชายข้ามเพศ

การให้บริการฮอร์โมนชายข้ามเพศวัยผู้ใหญ่

หลักการสำคัญของการใช้ฮอร์โมนในผู้ชายข้ามเพศวัยผู้ใหญ่ คือทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในเลือดอยู่ที่ระดับ 400-700 นาโนกรัม/เดซิลิตรซึ่งเป็นระดับปกติในเพศชายโดยกำเนิด   โดยพยายามหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นดังต่อไปนี้

  • ภาวะเลือดข้นหนืด  (erythrocytosis)
  • ความดันโลหิตสูง
  • การคั่งของเกลือและน้ำ
  • ภาวะไขมันในเลือดสูง
  • ภาวะเป็นสิวรุนแรง
  • การหยุดหายใจขณะนอนหลับ (obstructive sleep apnea)

รูปแบบการให้บริการฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ( Testosterone ) ที่ใช้รักษาในประเทศไทยมีดังนี้

1. ยาฉีด Testosterone enanthate 

  • เป็นฮอร์โมนที่ใช้กันมากที่สุด เพราะราคายอมเยาว์
  • ขนาดยาที่ใช้คือ 100-200 มก. ฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ ทุก 2 สัปดาห์
  • ข้อเสียคือพบว่าเกิดอาการเลือดข้นหนืด( erythrocytosis )ได้บ่อย

2. ยาฉีด Testosterone undecanote

  • เป็นฮอร์โมนที่มีราคาแพงกว่า
  • ขนาดยาที่ใช้คือ 1000 มก. ฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือกล้ามเนื้อทุก 12 สัปดาห์
  • มีรายงานการเกิดภาวะลิ่มน้ำมันอุดกั้นปอด ( pulmonary oil microembolism ) ได้บ้าง แต่พบน้อยมากๆ

3. เจลทาผิวหนัง Testosterone gel 1 %

  • เป็นยาที่มีราคาสูง
  • ขนาดที่ใช้ 50-100 มก./วัน ทาวันละ 1 ครั้ง
  • บริเวณที่แนะนำให้ทายาได้คือ ต้นแขน หน้าท้อง และต้นขา
  • บริเวณที่ไม่ควรทายาคือ หน้าอกและอวัยวะเพศ
  • การทายาไม่จำเป้นต้องถูนวด ให้ทาทิ้งไว้ให้เจลแห้งประมาณ 2 นาที

โดยปกติหลังใช้ฮอร์โมน 2-3 เดือน ชายข้ามเพศจะไม่มีประจำเดือน แต่ในกรณีที่ยังมีประจำเดือนอยู่หลังจากใช้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน 2-3 ดือน แพทย์จะให้การรักษาโดยให้ยาฉีดฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสเตอโรนหรือ GnRH analogue เสริม

ในระหว่างที่มีการใช้ยา ต้องมีการติดตามวัดระดับฮอร์โมนและเฝ้าระวังผลข้างเคียงด้วย โดยในปีแรก แพทย์จะนัดตรวจทุก 3 เดือน  ในปีต่อไปแพทย์จะนัดตรวจทุก 6-12 เดือน แล้วแต่ความจำเป็น

โดยผลของฮอร์โมนจะเริ่มทำให้เห็นการผลเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพเป็นเพศชายโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 6-12 เดือน และเห็นผลเต็มที่ชัดเจนที่ประมาณ 2-5 ปี

กรณีถ้ามีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายข้ามเพศกับผู้ชายเพศกำเนิด แนะนำชายข้ามเพศคุมกำนิดโดยการใช้ยาคุมชนิดโปรเจสเตอโรนเดี่ยวเท่านั้น  หรือควรทำหมัน

หญิงข้ามเพศ

การให้บริการหญิงข้ามเพศวัยผู้ใหญ่

หลักการใช้ฮอร์โมนเพื่อการแปลงลักษณะจากเพศชายให้เป็นเพศหญิง คือการเสริงฮอณืโมนเพศหญิงและลดฮอร์โมนเพศชาย  แบบแผนการใช้ฮอร์โมนคือให้ฮอร์โมนเพศหญิงร่วมกับยาต้านฤทธิ์ฮอร์โมนเพศชาย โดยมีเป้าหมายดังนี้

  • ระดับฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนต้องอยู่ในช่วง 100-200 pg/ml
  • ระดับฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนอยู่ในระดับไม่เกิน 50 ng/dl

ฮอร์โมนที่ใช้ในหญิงข้ามเพศ มีดังนี้

  1. เอสโตรเจน (estrogen)
  2. โปรเจสเตอโรน ( progesterone)
  3. ยาต้านฮอร์โมนเพศชาย (anti-androgen hormones)

ฮอร์โมนเอสโตรเจน

ยาที่ใช้ในการรักษาคือ เอสตราดิออล ( estradiol ) ซึ่งเป็นฮอร์โมนรูปแบบเดียวกับฮอร์โมนที่สร้างในร่างกายตามธรรมชาติ ที่ใช้กันอยู่มี 2 ชนิดคือ

  • 17β-estradiol
  • Estradiol valerate

โดยไม่พบความแตกต่างกันด้านประสิทธิภาพของยาทั้ง 2 ตัว  

รูปแบบยาที่ใช้มี  2 รูปแบบคือ

1. เอสตราดิออลชนิดรับประทาน

ขนาดยาที่ใช้ 2-6 มก. ซึ่งในการใช้จะปรับให้เหมาะสมกับแต่ละคน  แต่ไม่แนะนำให้ใช้ในหญิงข้ามเพศที่มีอายุมากกว่า 40 ปี  ตัวอย่างยาที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด เช่น Progenova®, Estrofem®,Postmenop®

เอสโตรเจนแบบกิน

2. เอสตราดิออลชนิดผ่านทางผิวหนัง

จะมีทั้งในรูปแบบแผ่นแปะและเจล ตัวอย่างยาที่มีจำหน่ายในท้องตลาด เช่น แผ่นแปะ Climara® 50 , เจล Oestrogel® .

อย่างไรก็ตาม การใช้เอสตราดิออลให้ปลอดภัยควรอยู่ภายใต้การแนะนำจากบุคคลากรทางการแพทย์เท่านั้น  แต่การใช้ยาในระยะยาวยังคงมีความเสี่ยง จำเป็นต้องได้รับการตรวจติดตาม และคัดกรองอย่างระมัดระวัง

โดยแพทย์จะนัดตรวจประเมินทุก 3 เดือนในปีแรก และหลังจากนั้นติดตามทุก 6-12 เดือน เพื่อติดตามลักษณะความเป็นเพศหญิง และอาการข้างเคียงของเอสตราดิออลที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้จะต้องนัดตรวจประเมินเกี่ยวกับกระดูก ทุก1-2 ปี

อาการข้างเคียงของเอสโตรเจนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำ มะเร็งเต้านม เส้นเลือดสมองตีบ ไขมัน”ตรกลีเวอไรด์ในเลือดสูง เป้นต้น

ไม่แนะนำให้ใช้เอสโตรเจนที่อยู่ในยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดแบบรับประทาน  ซึ่งอยู่ในรูปแบบ เอทธินิล เอสตราไดออล (ethinyl estradiol ) ในหญิงข้ามเพศ เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน โรคหลอดเลือดดำได้สูงมากอย่างมีนัยสำคัญ

เอสโตรเจนเจลและแผ่นแปะ

ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน

หญิงข้ามเพศบางรายอาจมีการใช้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนร่วมกับเอสโตรเจน โดยมีความเชื่อว่าจะให้มีการพัฒนาของเต้านมให้สวยงามมากกว่าการใช้เอสโตรเจนเพียงอย่างเดียว และมีความเชื่อว่าอาจส่งผลดีในด้านอารมณ์และความรู้สึกทางเพศด้วย

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังขาดหลักฐานยืนยันที่น่าเชื่อถือพอถึงข้อดีและข้อเสียของการใช้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน จึงไม่ถูกจัดเป็นมาตรฐานการรักษาทางการแพทย์ในการรักษาและให้ฮอร์โมนในหญิงข้ามเพศ และไม่สนับสนุนให้ใช้ เนื่องจากอาจเป็นการเพิ่มผลข้างเคียงเกี่ยวกับ หลอดเลือดดำอุดตัน หลอดเลือดหัวใจและสมอง ไขมันในเลือดสูง และภาวะซึมเศร้าได้

ยาต้านฮอร์โมนเพศชาย

ในกรณีหญิงข้ามเพศที่ยังไม่ได้ตัดอัณฑะ การใช้เอสโตรเจนอย่างเดียวไม่สามารถกดระดับของฮอร์โมนเพศชายได้ จึงควรพิจารณาการใช้ยาต้านฮอร์โมนเพศชายเพื่อกดฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนให้อยู่ในระดับไม่เกิน 50 นาโนกรัม/เดซิลิตร  ซึ่งจะทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นลักษณะเพศหญิงสมบูรณ์

แต่ในหญิงข้ามเพศที่ตัดอัณฑะแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านฮอร์โมนเพศชาย  

ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ในประเทศไทยมีการแนะนำให้ใช้ 2ชนิด ดังนี้

  • Spironolactone 100-300 mg./วัน
  • Cyproterone acetate 25-50 mg./วัน

สำหรับกรณีที่ใช้ยา Spironolactone จะต้องตรวจติดตามระดับโพแทสเซียมในเลือดด้วย เพราะมีความเสี่ยงที่ระดับโพแทสเซียมจะสูงขึ้น  โดยตรวจทุก 3 เดือนในปีแรกที่ใช้ยา หลังจากนั้นตรวจซ้ำทุก 1 ปี

สรุป

ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันอย่างทั่วโลกว่า บุคคลข้ามเพศไม่ใช่ผู้ป่วยจิตเวช ความต้องการข้ามเพศไม่ใช่ความผิดปกติและความเจ็บป่วย การให้บริการทางสุขภาพแก่คนข้ามเพศเป็นไปเพื่อสนับสนุนให้คนข้ามเพศใช้ชีวิตได้อย่างอิสระตามวิถีความต้องการอันชอบธรรมของปัจเจกบุคคลด้วยความเสมอภาค

เอกสารอ้างอิง

การบริบาลทางเภสัชกรรม (Pharmaceutical care)

การบริบาลทางเภสัชกรรม หมายถึง ความรับผิดชอบของเภสัชกรโดยตรงที่มีต่อการใช้ยาของผู้ป่วย เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ถูกต้องตามที่ต้องการและเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย ผลการรักษาที่ถูกต้องคือ

  • หายจากโรค
  • บำบัดหรือบรรเทาอาการโรค 
  • ชะลอหรือยับยั้งการดำเนินของโรค
  • ป้องกันโรค

โดยเภสัชกรจะปฏิบัติงานร่วมกับบุคคลากรทางการแพทย์ทางสาธาณสุขอื่นๆ เรียกว่า ทีมสหสาขาวิชาชีพและมีหน้าที่หลักในการค้นหา แก้ไข และป้องกันปัญหาที่เกิดจากการใช้ยา ตลอดจนติดตามประเมินผลที่เกิดขึ้นจากการรักษาด้วยยา เพื่อให้เกิดระบบยาที่มีคุณภาพและปลอดภัยสูงสุด

สินค้าแนะนำ

แผนที่ที่ตั้งร้าน

ที่ตั้งร้านยา

ร้านยาของเรา

พันธมิตรของเรา

บริษัทยาที่เป็นพันธมิตรสนับสนุนเรา

DKSH
ZPL
BIOPHARM
สยามฟาร์มา
ยูเนี่ยน
อ้วยอัน
วิทยาศรม
ทรูไลน์เมด
บริษัทชุมชน
สมุนไพรไทย
tnp