ความหมายของ คนข้ามเพศ คือ บุคคลที่มีอัตลักษณ์ทางเพศหรือมีการรับรู้ทางเพศจากภายในที่ต่างจากเพศกำเนิด
ข้อมูลจาก Asia Pacific Transgender Health Blueprint โดยมูลนิธิเอเชียแปซิฟิค ทรานส์เจนเดอร์ เนตเวิร์ค ( Asia Pacific Transgender Network, APTN) ได้คาดประมาณการณ์ว่ามีบุคคลข้ามเพศอยู่จำนวน 9-9.5 ล้านคน ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเผยตัวเลขว่ามีจำนวนหญิงข้ามเพศในประเทศไทยทั้งหมดอยู่ประมาณ 313,747 คน แต่สำหรับจำนวนชายข้ามเพศในประเทศไทย ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด

ความหมายของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ LGBTQ+
องค์การอนามัยโลกได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า การมีเพศสภาพไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิดไม่ถือว่าเป็นอาการป่วยทางจิต
สำหรับประเทศไทย ในปี 2523 ได้มีการประมาณการณ์ว่ามีจำนวนกลุ่ม LGBTQ+ อยู่ประมาณ 9 % ของประชากรไทยทั้งหมด
LGBTQ+ คือ กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศหรือเพศทางเลือก ย่อมาจาก
- L – Lesbian กลุ่มผู้หญิงรักผู้หญิง
- G – Gay กลุ่มผู้ชายรักผู้ชาย
- B – Bisexual กลุ่มที่รักได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
- T – Transgender กลุ่มคนข้ามเพศ จากเพศชายเป็นเพศหญิง หรือเพศหญิงเป็นเพศชาย
- Q – Queer กลุ่มคนที่พึงพอใจต่อเพศใดเพศหนึ่ง โดยไม่จำกัดในเรื่องเพศและความรัก
การอธิบายความหมายของ LGBTQ+ ในแง่ของเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศ ได้ดังนี้
- เพศวิถี (Sexual Orientation ) คือ ความรู้สึก รสนิยมทางเพศ รวมถึงความพึงพอใจทางเพศที่มีต่อบุคคลอื่น แบ่งเป็น 4 ลักษณะดังนี้
- รักต่างเพศ คือ ผู้ที่มีรสนิยมชื่นชอบเพศตรงข้ามหรือบุคคลต่างเพศ เช่น ผู้ชายที่ชอบผู้หญิง หรือผู้หญิงที่ชอบผู้ชาย
- รักเพศเดียวกัน คือ ผู้ที่มีรสนิยมชื่นชอบเพศเดียวกัน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหักๆ ได้แก่
- เลสเบี้ยน (Lesbian)
- เกย์ ( Gay)

- ไบเซ็กชวล (Bisexual) คือ ผู้ที่มีรสนิยมชื่นชอบทั้งเพศชายและเพศหญิง โดยจะมีอารมณ์เสน่หากับเพศตรงข้ามหรือเพศเดียวกันก็ได้
- ไม่ฝักใฝ่ทางเพศ คือ ผู้ที่ไม่สนใจเรื่องเพศสัมพันธ์ แต่เพียงรู้สึกสนิทสนมผูกพันกับบุคคลอื่น
2. อัตลักษณ์ทางเพศหรือเพศสภาพ (Gender identity) คือการรับรู้ว่าตนเองว่าต้องการเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ซึ่งบางคนอาจมีอัตลักษณ์ทางเพศตรงกับอวัยวะเพศและโครงสร้างทางร่างกาย แต่บางคนอาจมีอัตลักษณ์ทางเพศแตกต่างจากโครงสร้างทางร่างกาย ซึ่งเรียกว่าคนข้ามเพศ โดยรวมถึงคนที่ไม่สามารถกำหนดให้ตนเองเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเพียงเพศใดเพศหนึ่งได้ด้วย

หลักการใช้ฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศในวัยผู้ใหญ่
คนข้ามเพศ (Trangender) ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพให้แสดงออกตามเพศที่ประสงค์ ต้องได้รับการวินิจฉัยจากจิตแพทย์เท่านั้นว่ามีภาวะ GENDER DYSPHORIA อย่างต่อเนื่อง
Gender dysphoria คือ ภาวะที่มีความไม่สอดคล้องอย่างมากและต่อเนื่อง ระหว่างอัตลักษณ์ทางเพศหรือเพศสภาพที่ตนรับรู้กับเพศที่ถูกกำหนดมาแต่กำเนิด
การใช้ฮอร์โมนหรือการเทคฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศในกลุ่ม LGBTQ+ เป็นสิ่งจำเป็นต่อกลุ่มคนข้ามเพศที่ตัดสินใจแล้วว่าต้องการเปลี่ยนตนเอง ซึ่งจะช่วยกดฮอร์โมนเพศเดิมให้ลดลงและเสริมฮอร์โมนเพศใหม่ที่ต้องการ คือ จากชายกลายเป็นหญิงหรือจากหญิงกลายเป็นชายอย่างสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ
การใช้ฮอร์โมนควรใช้ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน การใช้ยาในแต่ละคนจึงมีขนาดการใช้ที่ต่างกัน การใช้โดยไม่มีการปรึกษาและติดตามโดยแพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญมักทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา
ก่อนการใช้ฮอร์โมนต้องตรวจสุขภาพและผ่านเกณฑ์ดังต่อไปนี้
- ต้องมีอายุอย่างน้อย 20 ปีขึ้นไป
- ต้องมีความสามารถในการตัดสินใจและให้ความยินยอมในการรักษาได้
- ผู้ที่มีอายุ 16-20 ปี การใช้ฮอร์โมนต้องอยู่ภายใต้ความรับรู้และยินยอมจากผู้ปกครองเ)ลายลักษณ์อักษรด้วย
- ต้องผ่านการพบจิตแพทย์ 2 ท่าน เพื่อประเมินสภาพจิตใจว่าผู้รับบริการต้องการจะเป็นคนข้ามเพศแน่ๆ หรือได้รับการยืนยันว่ามีภาวะ Gender dysphoria
- ต้องผ่านการตรวจสุขภาพ ตรวจวัดระดับฮอร์โมนและความพร้อมของร่างกายก่อน เช่น เจตรวจคัดกรองระดับไขมันและน้ำตาลในเลือด ตรวจดูการทำงานของตับและไตว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ พร้อมซักประวัติภาวะเสี่ยงของการเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน รวมถึงประวัติการใช้ยาประจำตัว คัดกรองประวัติการเป็นมะเร็งในครอบครัวสายตรง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก คัดกรองภาวะกระดูกพรุน คัดกรองภาวการณ์ตั้งครรภ์
ประเภทของการรักษาเพื่อยืนยันเพศสภาพในกลุ่ม คนข้ามเพศ อายุน้อยกว่า 16 ปี
ช่วงอายุของผู้ที่มารับบริการฮอร์โมนเพื่อยืนยันเพศสภาพ มีความสำคัญต่อการเลือกประเภทกลุ่มยาและช่วงเวลาที่จะเริ่มให้ยา
การให้บริการทางการแพทย์แก่บุคคลข้ามเพศ จะมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุดังนี้
1. กรณีเด็กข้ามเพศ ( trangender children)
คือช่วงวัยอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 11 ปี จะไม่มีการใช้ยาหรือฮอร์โมน แต่จะได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จิตแพทย์และกุมารแพทย์ โดยต้องมีการตัดสินใจร่วมกันระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ร่วมกับผู้ปกครองและโรงเรียน
2. กรณีวัยรุ่นข้ามเพศ ( trangender adolescent)
คือช่วงวัยอายุ 12-16 ปี การให้บริการรักษาและการให้ยาหรือฮอร์โมนจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะว่าในวัยเด็กและวัยรุ่น พบว่ามีการเปลี่ยนกลับความคิดจากการเป็นบุคคลข้ามเพศกลับมาเป็นเพศสภาพตรงกับเพศกำเนิด ซึ่งพบได้บ่อยในบุคคลข้ามเพศที่อายุน้อยมากๆ
หลักการให้บริการคือ ยับยั้งการพัฒนาเข้าสู่วัยหนุ่มสาวไว้ชั่วคราวจนกระทั่งถึงอายุที่เหมาะสมที่จะสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองอย่างมั่นใจว่าต้องการข้ามเพศจริงแน่นอนแล้ว โดยใช้ฮอร์โมนกลุ่ม GnRH analogues (Gonadotropin Releasing Hormone analogues ) ตัวอย่างยากลุ่มนี้เป็นรูปแบบยาฉีด เช่น Goserelin,Leuprorelin,Triptorelin
การให้บริการฮอร์โมนแก่ คนข้ามเพศ วัยผู้ใหญ่ ( Gender affirming hormonal treatment )
จะแบ่งเป็น 2 กรณีคือ
- ชายข้ามเพศ / ผู้ชายข้ามเพศ ( transgender male,female-to-male) คือ บุคคลที่มีเพศกำเนิดเป็นหญิงแต่มีอัตลักษณ์ทางเพศหรือมีการรับรู้ทางเพศจากภายในเป็นชาย
- หญิงข้ามเพศ / ผู้หญิงข้ามเพศ ( transgender female,male-to-female ) คือ บุคคลที่มีเพศกำเนิดเป็นชายแต่มีอัตลักษณ์ทางพศหรือมีการรับรู้ทางเพศจากภายในเป็นหญิง
การให้ฮอร์โมนสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสุขภาพร่างกายแต่ละบุคคล ได้แก่
- รูปแบบยาเม็ดรับประทาน
- รูปแบบยาฉีด มีข้อดีในเรื่องการออกฤทธิ์ได้นาน ทำให้ระดับยาในเลือดสม่ำเสมอ
- รูปแบบยาทาทางผิวหนัง

การให้บริการฮอร์โมนชายข้ามเพศวัยผู้ใหญ่
หลักการสำคัญของการใช้ฮอร์โมนในผู้ชายข้ามเพศวัยผู้ใหญ่ คือทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในเลือดอยู่ที่ระดับ 400-700 นาโนกรัม/เดซิลิตรซึ่งเป็นระดับปกติในเพศชายโดยกำเนิด โดยพยายามหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นดังต่อไปนี้
- ภาวะเลือดข้นหนืด (erythrocytosis)
- ความดันโลหิตสูง
- การคั่งของเกลือและน้ำ
- ภาวะไขมันในเลือดสูง
- ภาวะเป็นสิวรุนแรง
- การหยุดหายใจขณะนอนหลับ (obstructive sleep apnea)
รูปแบบการให้บริการฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ( Testosterone ) ที่ใช้รักษาในประเทศไทยมีดังนี้
1. ยาฉีด Testosterone enanthate
- เป็นฮอร์โมนที่ใช้กันมากที่สุด เพราะราคายอมเยาว์
- ขนาดยาที่ใช้คือ 100-200 มก. ฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ ทุก 2 สัปดาห์
- ข้อเสียคือพบว่าเกิดอาการเลือดข้นหนืด( erythrocytosis )ได้บ่อย
2. ยาฉีด Testosterone undecanote
- เป็นฮอร์โมนที่มีราคาแพงกว่า
- ขนาดยาที่ใช้คือ 1000 มก. ฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือกล้ามเนื้อทุก 12 สัปดาห์
- มีรายงานการเกิดภาวะลิ่มน้ำมันอุดกั้นปอด ( pulmonary oil microembolism ) ได้บ้าง แต่พบน้อยมากๆ
3. เจลทาผิวหนัง Testosterone gel 1 %
- เป็นยาที่มีราคาสูง
- ขนาดที่ใช้ 50-100 มก./วัน ทาวันละ 1 ครั้ง
- บริเวณที่แนะนำให้ทายาได้คือ ต้นแขน หน้าท้อง และต้นขา
- บริเวณที่ไม่ควรทายาคือ หน้าอกและอวัยวะเพศ
- การทายาไม่จำเป้นต้องถูนวด ให้ทาทิ้งไว้ให้เจลแห้งประมาณ 2 นาที
โดยปกติหลังใช้ฮอร์โมน 2-3 เดือน ชายข้ามเพศจะไม่มีประจำเดือน แต่ในกรณีที่ยังมีประจำเดือนอยู่หลังจากใช้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน 2-3 ดือน แพทย์จะให้การรักษาโดยให้ยาฉีดฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสเตอโรนหรือ GnRH analogue เสริม
ในระหว่างที่มีการใช้ยา ต้องมีการติดตามวัดระดับฮอร์โมนและเฝ้าระวังผลข้างเคียงด้วย โดยในปีแรก แพทย์จะนัดตรวจทุก 3 เดือน ในปีต่อไปแพทย์จะนัดตรวจทุก 6-12 เดือน แล้วแต่ความจำเป็น
โดยผลของฮอร์โมนจะเริ่มทำให้เห็นการผลเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพเป็นเพศชายโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 6-12 เดือน และเห็นผลเต็มที่ชัดเจนที่ประมาณ 2-5 ปี
กรณีถ้ามีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายข้ามเพศกับผู้ชายเพศกำเนิด แนะนำชายข้ามเพศคุมกำนิดโดยการใช้ยาคุมชนิดโปรเจสเตอโรนเดี่ยวเท่านั้น หรือควรทำหมัน

การให้บริการหญิงข้ามเพศวัยผู้ใหญ่
หลักการใช้ฮอร์โมนเพื่อการแปลงลักษณะจากเพศชายให้เป็นเพศหญิง คือการเสริงฮอณืโมนเพศหญิงและลดฮอร์โมนเพศชาย แบบแผนการใช้ฮอร์โมนคือให้ฮอร์โมนเพศหญิงร่วมกับยาต้านฤทธิ์ฮอร์โมนเพศชาย โดยมีเป้าหมายดังนี้
- ระดับฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนต้องอยู่ในช่วง 100-200 pg/ml
- ระดับฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนอยู่ในระดับไม่เกิน 50 ng/dl
ฮอร์โมนที่ใช้ในหญิงข้ามเพศ มีดังนี้
- เอสโตรเจน (estrogen)
- โปรเจสเตอโรน ( progesterone)
- ยาต้านฮอร์โมนเพศชาย (anti-androgen hormones)
ฮอร์โมนเอสโตรเจน
ยาที่ใช้ในการรักษาคือ เอสตราดิออล ( estradiol ) ซึ่งเป็นฮอร์โมนรูปแบบเดียวกับฮอร์โมนที่สร้างในร่างกายตามธรรมชาติ ที่ใช้กันอยู่มี 2 ชนิดคือ
- 17β-estradiol
- Estradiol valerate
โดยไม่พบความแตกต่างกันด้านประสิทธิภาพของยาทั้ง 2 ตัว
รูปแบบยาที่ใช้มี 2 รูปแบบคือ
1. เอสตราดิออลชนิดรับประทาน
ขนาดยาที่ใช้ 2-6 มก. ซึ่งในการใช้จะปรับให้เหมาะสมกับแต่ละคน แต่ไม่แนะนำให้ใช้ในหญิงข้ามเพศที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ตัวอย่างยาที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด เช่น Progenova®, Estrofem®,Postmenop®

2. เอสตราดิออลชนิดผ่านทางผิวหนัง
จะมีทั้งในรูปแบบแผ่นแปะและเจล ตัวอย่างยาที่มีจำหน่ายในท้องตลาด เช่น แผ่นแปะ Climara® 50 , เจล Oestrogel® .
อย่างไรก็ตาม การใช้เอสตราดิออลให้ปลอดภัยควรอยู่ภายใต้การแนะนำจากบุคคลากรทางการแพทย์เท่านั้น แต่การใช้ยาในระยะยาวยังคงมีความเสี่ยง จำเป็นต้องได้รับการตรวจติดตาม และคัดกรองอย่างระมัดระวัง
โดยแพทย์จะนัดตรวจประเมินทุก 3 เดือนในปีแรก และหลังจากนั้นติดตามทุก 6-12 เดือน เพื่อติดตามลักษณะความเป็นเพศหญิง และอาการข้างเคียงของเอสตราดิออลที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนี้จะต้องนัดตรวจประเมินเกี่ยวกับกระดูก ทุก1-2 ปี
อาการข้างเคียงของเอสโตรเจนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำ มะเร็งเต้านม เส้นเลือดสมองตีบ ไขมัน”ตรกลีเวอไรด์ในเลือดสูง เป้นต้น
ไม่แนะนำให้ใช้เอสโตรเจนที่อยู่ในยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดแบบรับประทาน ซึ่งอยู่ในรูปแบบ เอทธินิล เอสตราไดออล (ethinyl estradiol ) ในหญิงข้ามเพศ เนื่องจากเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน โรคหลอดเลือดดำได้สูงมากอย่างมีนัยสำคัญ

ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน
หญิงข้ามเพศบางรายอาจมีการใช้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนร่วมกับเอสโตรเจน โดยมีความเชื่อว่าจะให้มีการพัฒนาของเต้านมให้สวยงามมากกว่าการใช้เอสโตรเจนเพียงอย่างเดียว และมีความเชื่อว่าอาจส่งผลดีในด้านอารมณ์และความรู้สึกทางเพศด้วย
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังขาดหลักฐานยืนยันที่น่าเชื่อถือพอถึงข้อดีและข้อเสียของการใช้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน จึงไม่ถูกจัดเป็นมาตรฐานการรักษาทางการแพทย์ในการรักษาและให้ฮอร์โมนในหญิงข้ามเพศ และไม่สนับสนุนให้ใช้ เนื่องจากอาจเป็นการเพิ่มผลข้างเคียงเกี่ยวกับ หลอดเลือดดำอุดตัน หลอดเลือดหัวใจและสมอง ไขมันในเลือดสูง และภาวะซึมเศร้าได้
ยาต้านฮอร์โมนเพศชาย
ในกรณีหญิงข้ามเพศที่ยังไม่ได้ตัดอัณฑะ การใช้เอสโตรเจนอย่างเดียวไม่สามารถกดระดับของฮอร์โมนเพศชายได้ จึงควรพิจารณาการใช้ยาต้านฮอร์โมนเพศชายเพื่อกดฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนให้อยู่ในระดับไม่เกิน 50 นาโนกรัม/เดซิลิตร ซึ่งจะทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นลักษณะเพศหญิงสมบูรณ์
แต่ในหญิงข้ามเพศที่ตัดอัณฑะแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านฮอร์โมนเพศชาย
ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ในประเทศไทยมีการแนะนำให้ใช้ 2ชนิด ดังนี้
- Spironolactone 100-300 mg./วัน
- Cyproterone acetate 25-50 mg./วัน
สำหรับกรณีที่ใช้ยา Spironolactone จะต้องตรวจติดตามระดับโพแทสเซียมในเลือดด้วย เพราะมีความเสี่ยงที่ระดับโพแทสเซียมจะสูงขึ้น โดยตรวจทุก 3 เดือนในปีแรกที่ใช้ยา หลังจากนั้นตรวจซ้ำทุก 1 ปี
สรุป
ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันอย่างทั่วโลกว่า บุคคลข้ามเพศไม่ใช่ผู้ป่วยจิตเวช ความต้องการข้ามเพศไม่ใช่ความผิดปกติและความเจ็บป่วย การให้บริการทางสุขภาพแก่คนข้ามเพศเป็นไปเพื่อสนับสนุนให้คนข้ามเพศใช้ชีวิตได้อย่างอิสระตามวิถีความต้องการอันชอบธรรมของปัจเจกบุคคลด้วยความเสมอภาค
เอกสารอ้างอิง
- วรพล รัตนเลิศ, กฤติมา สมิทธิ์พล, คู่มือการให้บริการสุขภาพคนข้ามเพศประเทศไทย, ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านสุขภาพคนข้ามเพศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2563, พิมพ์ที่กันต์รพี เพรส จำกัด
- LGBTQ+ ความหลากหลายที่ต้องเข้าใจ, โรงพยาบาลนนทเวช, 14 ธันวาคม 2563
- พุทธชาติ ล้ำเลิศกิตติกุล, สุขภาพคนข้ามเพศ (TRANGENDER ) ต้องดูแลทั้งกายและใจ, โรงพยาบาลพญาไท.
- นิทัศน์ จตุปาริสุทธิ์, เรื่องสำคัญที่ควรรู้ของคนข้ามเพศ ก่อนเริ่มเปลี่ยนตัวเองด้วยการเทคฮอร์โมน, โรงพยาบาลนครธน.
- คณะอนุกรรมการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ พ.ศ.2565-2567, การดูแลสุขภาพของบุคคลข้ามเพศสำหรับสูตินารีแพทย์, 16 กุมภาพันธ์ 2567



การบริบาลทางเภสัชกรรม (Pharmaceutical care)
การบริบาลทางเภสัชกรรม หมายถึง ความรับผิดชอบของเภสัชกรโดยตรงที่มีต่อการใช้ยาของผู้ป่วย เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ถูกต้องตามที่ต้องการและเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วย ผลการรักษาที่ถูกต้องคือ
โดยเภสัชกรจะปฏิบัติงานร่วมกับบุคคลากรทางการแพทย์ทางสาธาณสุขอื่นๆ เรียกว่า ทีมสหสาขาวิชาชีพและมีหน้าที่หลักในการค้นหา แก้ไข และป้องกันปัญหาที่เกิดจากการใช้ยา ตลอดจนติดตามประเมินผลที่เกิดขึ้นจากการรักษาด้วยยา เพื่อให้เกิดระบบยาที่มีคุณภาพและปลอดภัยสูงสุด
สินค้าแนะนำ
สเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูกเด็กเล็ก
แผนที่ที่ตั้งร้าน
ร้านยาของเรา
วิวร้านกลางวัน
วิวภายในร้าน
วิวภายในร้าน
วิวภายในร้าน
เภสัชกรเหลียน
พนักงานผู้ช่วยนูรีดา
พันธมิตรของเรา
บริษัทยาที่เป็นพันธมิตรสนับสนุนเรา